ผมยังเชื่อว่า AIA เป็นสถาบันการเงินที่มั่นคงแห่งนึงครับ นอกจากด้านการเงินแล้วเราดูวิธีการบริหารงาน และการรับผิดชอบต่อลูกค้าของเขาด้วย และมีเงินสำรองที่สูง
แต่ยอมรับว่าลูกค้ากลุ่มนึงเริ่มกระจายความเสี่ยงมาฝากเงิน หรือซื้อประกันในเครือของธนาคาร ก็ให้ความมั่นใจได้เหมือนกัน
หลักการที่ดีที่สุดของผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน(91 คนใน 100 คนที่สำเร็จ) คือการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในหลายๆประเภทหลักทรัพย์ หลายๆแบบประกัน หลายๆแห่ง เพื่อถ่วงเฉลี่ยผลตอบแทนและความเสี่ยง ไ ม่ไ ด้มากที่สุด แ ต่ก็ ไม่ เสี่ยงมากที่สุด เหมือนกัน ตอนนี้มาอบรมเรื่องนี้พอดี แ ล้วจะกลับปจัดสัมมนาช่วยวางแผนการเงินใ ห้ผู้ที่สนใจนะครับ
AIA เขามี call center รับเรื่อง สอบถาม ปรึกษาอยู่แล้ว โทรถามได้
แต่ท่านเอกครับถ้ามีลูกค้ารายใดอยากย้ายพอร์ตจริงๆ ขอพิจารณาแ นะนำ KBank เป็นทางเลือกแรก ได้เลยเน้อครับ
เรามีที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ(License) ในเชียงใหม่ หลายคน เช่นที่สาขาผม ถ.ท่าแพ มี Financial Advisory Center
จะดูแลต่อให้ดี แล้ว move กลับภายหลังก็ยินดีครับ
กำลังเน้นหาเงินฝาก+กองทุน+ประกัน กันหนักขนาด
ยะ 08-1818-6161
เรื่องนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านประธานฯ ครับ การบริหารเงินต้องกระจายความเสี่ยงออกไปครับ เพราะธุรกรรมทางด้านการเงินนั้นมีข้อเด่นและข้อด้อยต่าง ๆ กันไป บางชนิดมีความคล่องตัวสูง แต่ผลตอบแทนต้องลดลงไป บางชนิดมีความคล่องตัวต่ำ แต่ผลตอบแทนสามารถการันตีได้และปลอดภาษี เป็นหน้าที่ของเจ้าของเงินเองครับว่าจะบริหารอย่างไรจึงจะเหมาะสม ทำอย่างไรก็ได้ครับ เพราะท้ายที่สุดแล้วจะต้องออกมาประมาณนี้
ข้อ 1. ต้องมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินเสมอ เงินส่วนนี้จะต้องสามารถเบิกถอนได้ในทันที ผลตอบแทนจากที่ฝากเงินอาจจะน้อยครับ แต่มีความปลอดภัยและสภาพคล่องที่สูงให้ลูกค้าเป็นการชดเชย อันนี้ผมยกให้ธนาคารครับ
ข้อ 2. เงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ส่วนนี้ท่านเจ้าของกิจการทั้งหลายทราบกันดีอยู่แล้วว่าจะต้องบริหารอย่างไร ตามแต่ชนิดของธุรกิจว่าจะมากน้อยเพียงใด
ข้อ 3. เงินเก็บเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณ เงินส่วนนี้จะต้องไม่ใช่เงินส่วนเดียวกับ 2 ส่วนข้างบน เป็นเงินส่วนที่จะเสี่ยงไม่ได้เลย ถสานที่เก๋บเงินส่วนนี้จะต้องมีระยะเวลาการฝากที่แน่นอน และระยะเวลาการถอนและจำนวนเงินที่แน่นอน เพราะเป็นเงินสำรองเอาไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ เมื่อธุรกิจสำเร็๗ เงินส่วนนี้เป็นโบนัส หากแต่ธุรกิจอาจจะไม่ได้ตามเป้าประสงค์ที่วางเอาไว้ อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่าเงินส่วนนี้ยังเป็นทางฟื้นเฮือกสุดท้ายของเราได้
เงินส่วนที่ 3 นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นประกันชีวิตนะครับ บางท่านอาจจะถนัดซื้อทองคำแท่งเก็บไว้ บางท่านอาจจะเป็นบัญชีเงินฝากประจำระยะยาว บางท่านอาจจะเป็นโฉนดที่ดิน แล้วแต่ความพร้อมครับ แต่เราจะต้องตอบคำถามหรือปฏิบัติให้ได้ว่า
ปัจจุบันนี้เราสามารถรับผิดชอบภาระที่มีอยู่สำหรับตัวเราและครอบครัวได้ดีแล้วหรือยัง ? ถ้าเราไม่อยู่ ใครจะรับภาระต่อ ?
เมื่อเราเกษียณอายุแล้ว เราไม่สามารถทำงานได้ต่อไป แต่เรายังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ เราจะทำอย่างไร? และเราได้เตรียมการในเรื่องนี้ไว้แล้วอย่างไร ?
หากเพื่อน ๆ ตอบตัวเองได้แล้วทั้ง 2 ข้อนี้ ประกันชีวิตไม่มีความจำเป็นครับ
แต่หากคำตอบข้อหนึ่งข้อใดคือคำว่า "ไม่" ประกันชีวิตเป็นทางออกทางเดียวที่สามารถปกป้องหรือรับรองสิ่งเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่มาทำทีเดียว หากแต่เพียงเราวางแผนใช้เงินก้อนเล็ก ๆ สะสมไปจนครบจำนวน ซึ่งระหว่างทางหากเกืความร้ายแรงขึ้นกับเรา มันจะสามารถปลดภาระของเราได้หลาย ๆ อย่างครับ
ที่สำคัญก็คือ เงินที่ฝากกับบริษัทประกันนั้น เป็นเงินที่มีสภาพคล่องต่ำมาก ๆ การที่เราจะได้ประโยชน์จากมันจริง ๆ ควรจะวางแผนการฝากให้ครับสัญญาเท่านั้นครับ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา ผู้ที่จะสามารถฝากได้จะต้องเป็นรายได้ไม่เกิน 10-15 % ของรายได้ทั้งปีครับ จึงจะไม่กระทบสภาพคล่องของการใช้จ่ายของแต่ละท่านได้