Montfort 27 ของเรา > ห้องเก่าเล่าความหลัง
Do you believe in Destiny?
เก่ง หล่ายดอย:
ไม่รู้ว่าจะป่ะไว้ที่ไหน ขอเป็นที่นี่ก็แล้วกันเน้อ
ม่วนบ่ม่วนอย่างใดก็อ่านไปก็แล้วกั๋นครับ เป็นของขวัญปี๋ใหม่เมืองให้เพื่อนทุกคนครับ
"Do you believe in destiny ?" เคยได้ยินคำถามนี้ไหมครับ สงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงรึปล่าว ?
อยากหาคำตอบให้กับคำถามนี้บ้างหรือปล่าวครับ ถ้าอยากรู้คำตอบของคำถามประโยคนี้ ล้อมวงเข้ามาใกล้ๆ สิครับ ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินคำถามประโยคนี้มาจากหนัง ละคร เอ! หรือว่าเป็นเพลงหว่า ผมจำไม่ได้เสียแล้วสิครับ "Do you believe in Destiny?"
มันคืออะไร สิ่งแรกที่ผมคิดขึ้นมาครั้งแรกเมื่อได้ยินประโยคนี้
อุ๊บ! ขอโทษนะครับ ผมลืมแนะนำตัวเองไปเสียแล้วสิ ผมชื่อ ก๊ำ ครับ (คำนี้ในภาษาเหนือแปลว่า ค้ำชู ครับ)
มีวงเล็บคำแปลแบบนี้ไม่บอกก็คงรู้นะครับว่าเป็นคนเหนือ ใช่ครับผมเป็นคนเชียงใหม่ ครับ ผมอยู่ในอำเภอเล็กๆ ทางใต้ของจังหวัดเชียงใหม่
เอาละครับแนะนำตัวไปแล้วก็มาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่าครับ คำถามที่เกิดขึ้นในใจผมทันทีเมื่อได้ยินประโยคคำถามนี้เป็นครั้งแรก
"มันมีอยู่จริงๆ เหรอ destiny เนี้ยะ" เอาละครับคุณอาจคิดต่อไปว่า "ไอ้นี่มันกำลังจะพูดเรื่องอะไรของมันฟ่ะ เมื่อไหร่มันจะเข้าเรื่องสักที"
ใจเย็นๆ ครับค่อยๆ ฟังผมเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ดีกว่าครับ ผมเองก็ได้ยินประโยคนี้นานมาแล้วเหมือนกัน
แต่มาเริ่มคิดถึงมันเมื่ออายุปาเข้าไปจะสามสิบนิดๆ เดี๋ยวนี้ก็ใกล้จะสี่สิบอีกไม่นานนี้แล้ว
ครับ เมื่อผมได้ยินคำถามประโยคนี้อีกครั้ง ผมก็ค่อยๆ คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมตั้งแต่เล็กจนโต
คุณละครับเคยใช้เวลานั่งทบทวนถึงเรื่องแบบนี้บ้างหรือปล่าวครับ แต่ตอนนี้มาฟังเรื่องของผมต่อดีกว่าครับ
เก่ง หล่ายดอย:
ผมเริ่มต้นจากการเรียนในโรงเรียนของรัฐบาลในอำเภอที่ผมอาศัยตั้งแต่เกิด จนกระทั่งเมื่อผมเรียนจบ ป.3 และกำลังจะขึ้น ป.4
เจ้า Destiny ก็เข้ามาทักทายกับชีวิตของผมเป็นครั้งแรก
เมื่อคุณนายของบ้านผมได้มีประกาศิตให้ผมไปสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัด
ซึ่งท่านได้เรียกผมเข้าพบในวันหนึ่งช่วงปิดเทอมปลาย
"ก๊ำเอ้ย แม่อยากให้ลูกเข้าไปเรียนในเวียง ลูกจะได้มีความรู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่บ้านเรา"
"ครับ" ผมรับคำอย่างว่าง่าย เพราะผมเป็นคนว่าง่ายอยู่แล้ว
เนื่องจากว่าท่านได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ได้จัดการให้ลุงของผมไปติดต่อสมัครสอบให้เรียบร้อยแล้ว
และจะต้องไปสอบในวันรุ่งขึ้นทันทีแล้วผมจะว่าอย่างไรได้ละเนี้ยะ
"เอ้าเอาไงก็เอากันฟ่ะ หนังสือก็ยังไม่อ่านด้วยดิ เพิ่งจะสอบไล่เสร็จ แท้ๆ เฮ้อ! กรรมของตูจริงๆเลย" อันนี้บ่นในใจครับพูดดังไม่ได้เดี๋ยวเจ็บครับ :smile6:
วันรุ่งขึ้นผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสอบตามบัญชาของคุณนายแม่ โดยมีคุณพ่อที่เคารพ และคุณลุงที่รักไปส่ง
ซึ่งจะประกาศผลสอบในวันถัดไป เรื่องการสอบผมไม่ขอพูดถึงเพราะจำไม่ได้
เอาเป็นว่าผมสอบติด แต่เป็นสำรองอันดับสามก็แล้วกัน สรุปคือต้องรอว่าจะมีคนสละสิทธิ์ 3 คน ผมถึงจะได้เรียนในโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งนั้น
แล้วคุณว่ามันเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ
ใช่ครับ Destiny มันมาทักทายและเล่นตลกผมเป็นครั้งแรกครับ
ปรากฎว่าทางโรงเรียนเรียกตัวผมเมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ ไปได้ 3 วันครับ
ผมยังจำได้ดีครับวันนั้นผมตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าตามปกติครับ
จากนั้นในคาบเรียนที่สอง คุณพ่อที่เคารพ และคุณลุงที่รักของผมก็มาที่ห้องเรียน
"คุณครูครับ ขออนุญาตครับ ผมมารับก๊ำครับ" พ่อผมพูด ในขณะที่ผมเริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตูฟ่ะ เมื่อเช้าก็ยังไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรเลยนี่หว่า
"ก๊ำ พ่อมารับลูกโรงเรียน... ที่เราไปสอบไว้เค้าเรียกตัวลูกแล้วต้องไปมอบตัว และเริ่มเรียนวันนี้เลย"
"เอาดิอะไรกันฟ่ะ" ผมเริ่มนึกในใจ
"เปิดเรียนไปด้วยแล้วเนี้ยะนะ แล้วไงล่ะ จะต้องทำไงต่อละเนี้ยะ บ้านเรากับโรงเรียนก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ด้วยจะต้องทำอย่างไรบ้างอ่ะ"
ตกลงผมต้องเดินออกจากห้องเรียนโดยไม่มีโอกาสได้ลาเพื่อนเก่าๆ ที่ได้เล่นทะโมนมาด้วยกันสักคนเลยครับ
เดินมาที่รถของลุงด้วยความงงในชีวิตว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตูต่อไปฟ่ะ
"พ่อ แล้วผมต้องไปพักที่ไหนล่ะ หรือว่าพ่อจะไปส่งผมทุกวัน" ผมถามขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย
"อ๋อ แม่กับลุงเค้าจัดการติดต่อหอพักให้เรียบร้อยแล้ว ลูกไปมอบตัวและเริ่มเรียนก่อน"
"แล้วเดี๋ยวตอนเย็นพ่อกับลุงจะไปรับที่โรงเรียน แล้วพาไปส่งที่หอพักต่อเลย" พ่อที่เคารพตอบผมมาราวกับมีแผนการมาแล้วล่วงหน้า
"แล้วเสื้อผ้า ก๊ำยังไม่ได้เตรียมอะไรเลยนะ"
"ไม่เป็นไร แม่เค้าเตรียมไว้ให้ลูก เรียบร้อยแล้วล่ะ เอาไปสักไม่กี่ชุดก่อน เดี๋ยวเสาร์-อาทิตย์นี้พ่อไปรับกลับบ้านแล้วค่อยมาเอาไปเพิ่มก็ได้"
เอาละสิผมเริ่มคิดในใจอีกครั้งอะไรฟ่ะ ไม่ถามสักคำว่าเราคิดไงบ้าง
สงสัยงานนี้คุณนายที่บ้านเตรียมแผนไว้เรียบร้อยแน่ๆ
แล้วชีวิตเด็กหอจะเป็นอย่างไรบ้างอ่ะ ไอ้เราเองก็ไม่เคยออกบ้านมาก่อน
โชคดีเป็นของผมครับที่สมัยนั้นยังไม่มีหนังเรื่อง "เด็กหอ" ไม่งั้นผมคงต้องผวาแน่ๆ -07
"พ่อครับ แล้วหอที่จะไปพักเนี้ยะ อยู่ที่ไหนเหรอครับ"
"เป็นของมาสเตอร์ที่ลุงกับน้าๆ ของลูกเคยอยู่นะ รู้สึกว่าจะมีพี่เซ้งลูกป้านัทเพื่อนของแม่อยู่ด้วยนะ"
"เหรอครับ" ผมได้แต่รับคำ และนั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เจ้า Destiny ได้เข้ามาทักทายกับชีวิตของผม
ได้นำทางผมออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเป็นเวลาร่วม 20 ปีนับจากวันนั้น
นำพาให้ผมได้พบกับเพื่อนดีๆ ประสบการณ์ ความรัก ความทรงจำดีๆ อีกมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
ตามผมมานะครับแล้วผมจะเล่าให้ฟัง
เก่ง หล่ายดอย:
ชีวิตของผมดำเนินต่อมาด้วยความเฮฮา สนุกสนานในโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งนั้น
และการใช้ชีวิตเด็กหอของผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก อาจเป็นเพราะผมสามารถปรับตัวได้เร็ว
การเรียนของผมก็จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากนัก
ถ้าจะเล่าเรื่องชีวิตในโรงเรียน และชีวิตของเด็กหอคนหนึ่งก็อาจเป็นนิยายได้อีกสักเรื่อง
แต่ยังไม่ใช่วันนี้ครับ เอาไว้มีโอกาสผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกทีครับ
นอกเรื่องไปเยอะแล้วมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่าครับ
วันหนึ่งในปิดเทอมปลายภาคของ ม.2 มาถึง
เจ้า Destiny เพื่อนเก่าของผมก็ได้แวะเวียนเข้ามาทักทายผมอีกครั้งโดยการชักนำของคุณนายแม่เจ้าเดิมนั่นแหละ
"ก๊ำ พรุ่งนี้ป้าวิภาเพื่อนของแม่จะมาเยี่ยม และพักอยู่กับเราประมาณ 4-5 วันนะลูก"
"ครับแม่ แล้วป้าเค้าจะมากับใครบ้างละครับ"
"อ๋อ เห็นบอกว่าจะพาลูกสาวมาด้วย 2 คนนะ คนโตรู้สึกว่าจะอายุแก่กว่าเราสัก 2 ปีนะ"
"ส่วนคนเล็กอายุไล่ๆ กับเรานั่นแหละอ่อนกว่าเราไม่กี่เดือนนี่แหละ แล้วพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าละ ไปรับป้าเป็นเพื่อนแม่ที่สถานีรถไฟด้วยกัน"
"ได้ครับ" ผมได้แต่รับคำคุณนายแม่ และนึกในใจว่า 2 สาวหน้าตาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
เช้าตรู่ของวันถัดมา ผมกับคุณนายแม่ก็ตื่นแต่เช้าเพื่อไปรับป้าวิภาและลูกสาวที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ด้วยกัน
ครั้งแรกที่ผมได้เห็นหน้าของ ปอยลูกสาวคนเล็กป้าวิภา ผมก็ได้แต่นึกในใจว่าทำไมน้องเค้าน่ารักจัง :love:
ช่วงเวลา 4-5 วันนี้ผมคงมีความสุขที่ได้พาป้าวิภาและลูกสาวทัวร์เชียงใหม่ในคราวนี้แน่ๆ :smile3:
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วช่วงเวลา 4-5 วันหมดไปกับการนำทัวร์สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ น้ำตกแม่กลาง น้ำตกแม่ยะ บ่อสร้าง สันกำแพง ฯลฯ
พร้อมๆ กับสัญญาณมิตรภาพที่เริ่มต้นขึ้นระหว่างผมกับปอย
โดยการแลกเปลี่ยนที่อยู่เพื่อติดต่อกันทางจดหมายในสมัยนั้น
แน่นอนผมต้องให้ที่อยู่หอพักอยู่แล้ว เรื่องอะไรที่ผมจะให้ที่อยู่ที่บ้านซึ่งกว่าผมจะได้กลับบ้านก็เดือนละครั้ง
แน่นอนครับเมื่อปอยกลับไปแล้วผมก็เริ่มการติดต่อทางจดหมายกับเธอทันที
พร้อมกับเริ่มจุดมุ่งหมายที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เมื่อจบมัธยมต้น หรือมัธยมปลาย
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าปอยจะเป็นคนที่สร้างแรงผลักดันให้ผมได้ก้าวไปสู่ชีวิตที่จะนำพาผมห่างไกลบ้านออกไปอีก
และเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมหัวเราะ เศร้า รู้สึกเหงาได้ในเวลาเดียวกัน
ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามฟังเรื่องราวของผมต่อไปเรื่อยๆ สิครับแล้วผมจะเล่าให้ฟังเมื่อถึงเวลา
เก่ง หล่ายดอย:
แต่แล้วเจ้า destiny เพื่อนรักก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงชีวิตผมอีกครั้งทำให้ผมต้องรอไปก่อนในความคิดที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
เมื่อผมกำลังจะจบ ม.3 ได้มีการจัดสอบเพื่อเรียนต่อชั้น ม.4 ของโรงเรียน :smile1:
ผมเข้าสอบด้วยความคิดว่า "ไอ้ผลการเรียนกลางๆ อย่างเรามันจะมีความหวังกับเค้าเหรอ เพราะแม้แต่มาสเตอร์เจ้าของหอพักก็ไม่คิดว่าผมจะสอบได้"
แต่แล้ว....
ใช่ครับ เจ้าเกลอเก่าเล่นตลกกับผมอีกครั้งเมื่อผลการสอบออกมาปรากฎว่า
ผมสอบติดในรอบแรกที่คัดเลือกเฉพาะเด็กในโรงเรียนก่อน :try:
ผมเริ่มคิดหนักครับว่าผมจะเรียนไหวเหรอ และในเมื่อผมเองมีความต้องการที่จะเรียนในสายอาชีพมากกว่าด้วย การเจรจาจึงเริ่มต้นขึ้น
"แม่ครับ ก๊ำไม่อยากเรียนต่อที่นี่แล้วอ่ะ"
"ทำไมละลูก ใครๆ เค้าก็อยากจะเรียนที่นี่กันจะตาย"
"ก็ไม่รู้ว่าก๊ำจะเรียนไหวหรือปล่าวดิ อีกอย่างก๊ำอยากเรียนสายอาชีพด้วยอ่ะ"
"ก๊ำอยากเรียนบัญชี เพราะที่บ้านเราก็ค้าขายอยู่แล้วด้วย นะแม่นะให้ก๊ำไปเรียนต่อสายอาชีพที่กรุงเทพฯ ได้ไหมครับ"
"อ้าวแล้วที่โรงเรียนเก่านี่ลูกก็สอบติดแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ติดได้ก็สละสิทธิ์ได้นิแม่"
"ไม่เอาแม่ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ไกลๆ"
"อะไรฟ่ะจับตูไปอยู่หอมา 6 ปี ห่างบ้านมาตั้งนานแล้วนา" อันนี้ผมคิดเองในใจไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ
"ก็ผมไม่อยากเรียนอ่ะแม่ ผมกลัวเรียนไม่ไหว"
"ก็ลูกยังไม่ได้เรียนจะรู้ได้ยังไงว่าเรียนไม่ไหว"
"เฮ้อ!" ผมได้ต่อถอนใจเงียบๆ แล้วตอบว่า "ก็ได้ครับแม่ แล้วตอนจบ ม.6 แม่ต้องให้ก๊ำเลือกเองนะว่าก๊ำจะเรียนอะไร ที่ไหนด้วยอ่ะ"
"เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อน เราค่อยมาพูดกันอีกที"
เสียงคุณนายแม่ล่องลอยมาเข้าหูผมเบาๆ
พร้อมกับความคิดในใจของผมที่ได้แต่คิดว่า รอก๊ำก่อนนะปอยคงอีกนานกว่าเราจะได้อยู่ใกล้ๆ กัน :cry7:
เก่ง หล่ายดอย:
ขออภัยเพื่อนๆ ที่ติดตามด้วยครับ กระทู้นี้ขอหยุดตัวเองลง คงไม่ว่ากันนะครับ
เนื่องจากว่าเจ้าของเรื่อง เล่าไปป๊อดไป ครับ เนื่องจาก base on true story 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
ขออภัยเพื่อนๆ เป็นอย่างสูงมานะที่นี้ด้วยครับ -01
เอาเป็นว่าไปติดตาม จากหล่ายดอยสู่รั้วแดงขาวน้ำเงิน ต่อไปก่อนนะครับ
จนกว่าผมจะรู้สึก ป๊อดน้อยกว่านี้ครับ
ขอโตดคร๊าบ -09 -09 -09
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version