เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ
ธนาคารโลกและตลาดหลักทรัพย์ฯแนะหาจังหวะเหมาะเข้าลงทุนช่วงเงินทุนไหลเข้าเอเชียดร.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ให้สัมภาษณ์ว่า ธนาคารโลกได้ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2551 ที่ระดับ 2.9% ชะลอตัวลงจากปี 2550 ที่ประเมินว่าขยายตัว 3.3% โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าปีนี้จะขยายตัวเฉลี่ย 1.9% ลดลงจากปี 2550 ที่คาดว่าขยายตัว 2.2% รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (EU) อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจของจีนและอินเดียยังมีอัตราการเติบโตในระดับสูง ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เศรษฐกิจโลกไม่ชะลอตัวลงมากนัก
นอกจากนั้น ในปีนี้ก็มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยมากขึ้นด้วย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต้องหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งการที่มีเงินทุนไหลเข้าไทยมากขึ้น ก็จะมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% ถ้าหากยกเลิกโดยที่ไม่มีมาตรการอื่นมารองรับ ก็อาจจะทำให้เงินบาทยิ่งแข็งค่าเร็วขึ้นได้ และจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงผู้ส่งออกไทยด้วย
ดร.กิริฎาบอกว่า การที่เศรษฐกิจโลกปีนี้มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง ทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสที่ดีของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศให้ฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทก็ถือเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนเช่นกัน เนื่องจากเครื่องจักรที่นำเข้ามาจะมีราคาถูกลง รวมถึงเป็นโอกาสที่ดีในการออกไปลงทุนต่างประเทศด้วย เพียงแต่นักลงทุนอาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้บ้าง เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผ่อนคลายมาตรการออกไปลงทุนต่างประเทศ อย่างไรก็ตามผู้ส่งออกที่ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และ EU ก็ควรที่จะหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า 3 ประเทศดังกล่าวด้วย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ สังเกตได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาไม่ดี และมีปัญหาในระบบสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่แย่จนเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)
ดร.กอบศักดิ์ยังกล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยไทยในปีนี้ด้วยว่า มีโอกาสที่ ธปท. จะลดลงอีก เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน โดยในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัญหา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงไม่กดดันเงินเฟ้อของไทยมากนัก ทั้งนี้ ธปท. คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 4.5 6%
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่เป็นเพราะผู้ส่งออกกังวลว่า รัฐบาลใหม่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จึงได้เทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ออกมา ดังนั้น หากรัฐบาลใหม่จะยกเลิกมาตรการก็ควรทำในช่วงที่ตลาดเงินไม่มีความผันผวน รวมทั้งควรที่จะมีมาตรการอื่นมารองรับ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ก็ได้ส่งเสริมให้คนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น การลดอัตราดอกเบี้ย และการติดตามข้อมูลการไหลเข้าออกของเงินทุน นอกจากนี้ภาครัฐก็ควรที่จะทำความเข้าใจกับผู้ส่งออกด้วย