คาวาเลียร์'บรั่นดีไทย'ที่ต้องลิ้มลอง...
คาวาเลียร์'บรั่นดีไทย'ที่ต้องลิ้มลอง
โดย ธวัชชัย เทพพิทักษ์
'บรั่นดีเป็นสุดยอดของสุรา สำหรับคนที่มีรสนิยมตัวจริงเสียงจริง'
เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง เพราะนอกจากจะมีขั้นตอนและกระบวนการทำที่ยุ่งยากซับซ้อนแล้ว กระบวนการดื่มยังต้องมีความพิถีพิถันอีกด้วย
บรั่นดี (Brandy) เป็นเหล้าที่ได้จากหมักองุ่นให้เป็นไวน์ก่อนแล้วกลั่น (Distillation) ถ้ากลั่นมาจากผลไม้อื่นจะระบุไว้ด้วย เช่น เชอรีบรั่นดี แอปเปิลบรั่นดี พลัมบรั่นดี ฯลฯ สุดยอดของบรั่นดีมาจาก 2 ตำบลในฝรั่งเศส คือ คอนยัก (Cognac) ใกล้แคว้นบอร์โดซ์ ติดกันจะเป็นตำบล อาร์มายัก (Armagnac) แต่เมืองไทยค่อนข้างรู้จักน้อย เพราะไม่ค่อยมีคนสั่งเข้ามาขาย
ชาวไร่องุ่นในตำบลคอนยักใช้องุ่นขาวพันธุ์ อูยี บลอง (Ugni Blanc) ซึ่งคุณภาพต่ำ กรดเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด และฝาดเฝื่อนสูง ทำไวน์ขาวชั้นดีไม่ได้ จึงนำมากลั่น 3 ครั้ง 3 ครา ในถังกลั่นที่เรียงติดกันเป็นตับ ตามวิธีโบราณเพื่อขับน้ำออกเหลือแต่บรั่นดีล้วนๆ โห่ร้องตีฆ้อง 3 ราแล้วเก็บบ่มในถังโอ๊คเป็นสิบปี จนกลายเป็นบรั่นดีคุณภาพสูง ดีกรีจัดจ้านกว่า 50 ดีกรี
บรั่นดีจำเป็นต้องบ่มโอ๊คอย่างน้อยๆ 5 ปี ถังไม้โอ๊คจะมีคุณสมบัติพิเศษ คือ หายใจได้ เพราะมีรูเล็กๆ อยู่ในเยื่อไม้ อันเป็นช่องทางให้แอลกอฮอล์ในถังระเหยออกมาบ้าง ขณะเดียวกันจะดูดออกซิเจนข้างนอกเข้าไป โดยออกซิเจนจะนำกลิ่นและสีของโอ๊คเข้าไปด้วย เมื่อผสมผสานกับน้ำองุ่นกลั่น ความฝาดเฝื่อน และกระด้างจะลดลง จนได้บรั่นดีสีสวย รสละมุน แอลกอฮอล์ลดลง และราคาแพง เนื่องจากขณะบ่มในถังนั้น บรั่นดีได้หายไปในอากาศส่วนหนึ่ง บางถังบ่ม 10 ปีเหลือไม่ถึงครึ่งถัง
ในเมืองไทย การทำบรั่นดีจากองุ่นอย่างจริงจังเพิ่งเกิดเมื่อประมาณ 4-5 ปีนี่เอง แต่เป็นการผลิตไม่มากนัก โดยบริษัทที่ผลิตไวน์จากองุ่น เพราะในต่างประเทศผู้ผลิตไวน์ส่วนใหญ่จะมีการผลิตบรั่นดีด้วย เพราะบรั่นดีเป็นผลพวงของการผลิตไวน์
เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ผมเคยลิ้มลองบรั่นดีของผู้ผลิตไวน์ไทยจากองุ่นยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่ง ปัจจุบันก็ยังทำอยู่แต่ทำไม่มากนัก แม้ราคาไม่แพงและคุณภาพดี แต่ไม่ค่อยมีในตลาดเมืองไทย เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้ในเมืองไทยค่อนข้างเล็ก จึงส่งออกไปขายในยุโรปตอนเหนือ ข่าวว่าขายได้ดีพอสมควร
ล่าสุด ประมาณปลายปีที่แล้ว ก่อนการประชุม APEC ผมเห็นโฆษณาบรั่นดีไทยยี่ห้อ คาวาเลียร์ (Cavalier) ทางสื่อต่างๆ ตอนแรกคิดในใจว่า "เอาอีกแล้วหรือ บรั่นดีไทย?" และเชื่อว่าหลายคนคงคิดแบบนี้ แต่ก็ซื้อมา 1 ขวด
เมื่อนำมาชิมกับผู้ที่อยู่ในวงการเครื่องดื่มหลายคน ต่างร้องพร้อมกัน เฮ้ย!ไม่เลวนี่ โดยเฉพาะกลิ่นหอมขององุ่นที่อบอวลพอสมควร รินใส่แก้วแล้วให้คนทั่วไปดื่ม แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่านี่คือบรั่นดีไทยจริงๆ รสชาติไม่แพ้ บรั่นดีอิมพอร์ต แต่ที่เหนือกว่า คือ ราคาถูกกว่าและสามารถดื่มได้หลายรูปแบบ
หลังจากการประชุม APEC จบลง จึงรู้มาว่า คาวาเลียร์ ได้รับการเสิร์ฟให้กับผู้ที่มาร่วมการประชุมได้ลิ้มลองกันด้วย เป็นบรั่นดีไทยเจ้าแรกและเจ้าเดียวเท่านั้น เรื่องแบบนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน สำหรับบรั่นดีที่เป็นของใหม่ในสายการผลิตในบ้านเรา
"คาวาเลียร์" เป็นตำนานของทหารม้าผู้ยิ่งใหญ่ เก่งกาจ กล้าหาญ และซื่อสัตย์ ขี่ม้าขาวเป็นพาหนะ เป็นผลผลิตของบริษัท ยูไนเต็ด ไทย ดิสทิลเลอร์ส จำกัด (United Thai Distillers Co.,Ltd.) ซึ่งเจ้าของบริษัทนี้มีประสบการณ์กว่าครึ่งศตวรรษในอุตสาหกรรมผลิตสุรา ฐานการผลิตอยู่ที่จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 3 เป็นผู้สืบทอดกิจการ และกำลังจะทำให้บรั่นดีไทยตัวจริงเสียงจริงขึ้นชั้นสู่ตลาดนานาชาติ
วัตถุดิบที่ใช้ผลิตคาวาเลียร์ นำมาจากแหล่งสำคัญของโลก เช่น สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย จากนั้นจึงผสมผสานโดย มือปรุง (Blender) ที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี
ผมไม่เคยไปดูเขาทำบรั่นดีในเมืองไทย เคยดูแต่ในฝรั่งเศส การผลิตบรั่นดีเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่ละคนแต่ละบริษัท จะมี แทคติก ที่ต่างกันและจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด
คาวาเลียร์ ผสมผสานเป็นพิเศษในแบบไทยสไตล์ (Thai Unique) ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะอย่างน้อยการดื่มของคนไทยก็มีเอกลักษณ์เป็นแบบฉบับของตนเอง ซึ่งในรอบบ้านย่านเอเชียนี้ก็ไม่ต่างกันมาก
ตามข้อมูลเขาบอกว่าคาวาเลียร์เป็นบรั่นดีเกรด V.S.O.P ซึ่งการแบ่งเกรดบรั่นดีมี 4 เกรดคือ
1.สามดาว : ธรรมดา อายุน้อย ราคาถูกที่สุด เกรดนี้บ่มประมาณ 5 ปี จะกระดกเพียวๆ ตามด้วยน้ำเย็น เติมโซดา น้ำแข็ง น้ำแร่ โคลา ก็ไม่มีใครว่า และไม่ต้องเสียดาย
2. V.S.O.P. : ย่อมาจาก V = Very,Vintage, S = Superior,Soft หรือ Special, O = Old และ P = Period, Pale บ่มโอ๊ค 5 ปีขึ้นไป กรรมวิธีผสมผสานละเอียดอ่อนกว่าระดับสามดาว
3. X.O. หรือ Extra Old : เก่าแก่เป็นพิเศษ สีเข้มข้น กลิ่นจรุงใจ การดื่มต้องมีความพิถีพิถันมาก
4. EXTRA : บ่มโอ๊คกว่า 10 ปีขึ้นไป เป็นบรั่นดีพิเศษ สีเข้ม เก็บไว้ได้นานกว่าปกติ จัดเป็นบรั่นดีชั้นสูง กลิ่นอบอวลมาก ราคาแพง ฯลฯ การดื่มก็ต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน
ทางด้านกระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งคุณภาพของ คาวาเลียร์ เริ่มตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบที่นำเข้า ต้องได้มาตรฐาน ผ่านกระบวนการตรวจสอบจากห้องแล็บ เมื่อผสมผสานออกมาเป็นบรั่นดีแล้ว จะมีการตรวจสอบคุณภาพก่อนจะถึงผู้บริโภค สุดท้ายสุ่มตัวอย่างทุกสัปดาห์ตรวจชิมทุกล็อตผลิต รวมทั้งเดินดุ่มๆ สุ่มขวดที่วางขายอยู่ในท้องตลาดด้วย
ผมทดลองดื่มคาวาเลียร์แทบทุกรูปแบบที่คนไทยชอบดื่มกัน ไล่ตั้งแต่ดื่มเพียวๆ ตามด้วยน้ำเย็น, ออน เดอะ ร็อค ใส่น้ำแข็ง และใช้โซดาเป็นมิกเซอร์แบบวิสกี้ รสชาติแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน เท่าที่ถามดูหลายคนชอบแบบเติมโซดา และต้องแช่ให้เย็นเฉียบ เกือบจะเป็นวุ้นยิ่งดี
นอกจากนั้น ผมก็ลองดื่มแบบเต็มยศ คือ ใช้แก้วบรั่นดีทรงบอลลูน ก่อนดื่มกลั้วคอด้วยน้ำเย็นเล็กน้อย เป็นการปรับอุณหภูมิในปากและล้างคอ (ใครจะกลืนหรือบ้วนทิ้งก็แล้วแต่อัธยาศัย) รินบรั่นดี 1 เป๊กในแก้ว ถ้ากะปริมาณไม่ถูกให้เอียงแก้วให้ติดพื้นถ้าเหล้าในแก้วปริ่มตรงปากแก้วและไม่หกนั่นแหละใช่เลย ใช้อุ้งมือจับแก้วแกว่งเบาๆ ยกแก้วจ่อปลายจมูก เพื่อดมค้นหาความหอมกรุ่นในแก้ว ไออุ่นจากอุ้งมือจะทำให้กลิ่นของบรั่นดีโชยออกมาอย่างตลบอบอวล เมื่อบรั่นดีไหลผ่านซอกฟันเข้าสู่อุ้งปากจึงค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ เพื่อสูดกลิ่นหอมละมุนของสุดยอดบรั่นดี ตบท้ายด้วยน้ำเย็นเล็กน้อย
อีกวิธีหนึ่งที่ผมลองกับคาวาเลียร์ คือ เบิร์นแก้ว ด้วยความร้อน เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้บรั่นดีมีรสชาติหอมหวนตลบอบอวลชวนดื่ม โดยจุดเทียนไขอย่างดีตั้งไว้ นำแก้วบรั่นดีมาอังข้างๆ แก้ว ให้ห่างเปลวไฟประมาณ 1.5 -2 เซนติเมตรพร้อมกับหมุนแก้วไปด้วย เพื่อให้ความร้อนกระจายทั่วแก้ว กะว่าแก้วอุ่นๆ แล้วจึงรินคาวาเลียร์ลงไป 1 เป๊ก ค่อยๆ ดมและดื่ม แล้วตามด้วยน้ำเย็น
?บรั่นดีเป็นโอสถขนานเอก ให้ความอบอุ่นและสุขภาพดีแก่ร่างกาย และบ่งบอกถึงรสนิยมการใช้ชีวิตของทั้งคนให้และคนดื่ม? นิยามของบรั่นดี