ฉบับก่อนหน้านั้นครับ
วิสกี้ใต้แสงจันทร์ สัญลักษณ์แห่งอารยขัดขืน
ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ หลายคนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องต่างๆ เรื่องที่พวกเขาอยากให้ผมตอบมักจะไม่พ้นสามเรื่อง คือ การเรียน การตั้งถิ่นฐานและลงทุนทางธุรกิจ สุดท้ายคือเรื่องเหล้า ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวสักนิดว่าผมไม่ได้เป็นนักดื่มแต่อย่างใด แต่เหตุผลที่ผมมีความรู้ด้านนี้มาจากการศึกษาพูดคุยกับผู้รู้ในด้านนี้ ทำให้ผมเคยมีชื่ออยู่ในลิสต์ผู้ถูกเชิญให้ไปร่วมงานเทสติ้ง เหล้าและไวน์อย่างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ผมพอมีความรู้อยู่บ้าง ในฉบับที่ผ่านมาผมเล่า เกี่ยวกับไวน์ในนิวซีแลนด์ไปแล้ว คราวนี้ผมขอเล่าถึงประวัติของวิสกี้ ซึ่งแบ่งเป็นสองบท โดยบทแรกผมจะพูดถึงประวัติของวิสกี้และความเกี่ยวข้องกับการเมือง ในฉบับต่อไปผมจะพูดถึงวิสกี้ชนิดต่างๆเท่าที่ผมพอจะทราบ
คำว่าวิสกี้นั้นคนไทยโดยมากแปลว่าเหล้า ซึ่งเหล้าอย่างแม่โขงเราก็เรียกว่า ไทยวิสกี้ ทั้งๆ ที่ในต่างประเทศวิสกี้หมายถึงเหล้าที่ทำมาจากข้าว ขณะที่เหล้าที่ทำมาจากอ้อย หรือโมลาซ แบบเหล้าไทยนั้นถูกจัด ว่าเป็นเหล้ารัม ซึ่งมีประวัติในต่างประเทศ ควบคู่ไปกับชาวเรือ ไม่ว่าจะเป็นโจรสลัดแห่งคาริเบียน หรือราชนาวีอังกฤษ อย่าง เหล้ารัมเหรียญทองสองสมัยที่มีชื่อเสียงคือ พุสเซอร์ของเกาะบริติช เวอร์จิน จะใช้ ธงราชนาวีอังกฤษเป็นตราบริษัทเพราะได้รับอนุญาตให้เป็นเครื่องหมายการค้า โดยเฉพาะรุ่นพิเศษที่บ่มนานเจ็ดปี จะใช้ชื่อว่า Nelson Blood Flagon หรือเลือด เนลสัน เนื่องมาจากตำนานราชนาวีอังกฤษที่มีคำว่า Tapping Admiral หรือ ดื่มนายพลเรือ ซึ่งทหารเรือปัจจุบันเชื่อว่า มาจากการดื่มเพื่อนายพลเรือเนลสันที่ชนะ กองทัพเรือฝรั่งเศสที่ยุทธการทราฟัลกา
มีเรื่องเล่าว่าในยุทธการทราฟัลกา ท่านจอมพลเรือเนลสัน ฮาราทิโอ รบอย่าง กล้าหาญ แม้จะโดนยิงก็ยังบัญชาการรบจนทัพเรือของนโปเลียนแตกพ่ายก่อนเนลสันจะเสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เนื่องจากวีรกรรมอันเลื่องชื่อ ทหารเรือจึงนำเอาศพของเนลสันไปไว้ใน ถังเหล้ารัม เพื่อรักษาสภาพศพ แต่เมื่อเปิด
บศพ หลังจากที่เรือรบเทียบท่าที่อังกฤษ ปรากฏว่าศพท่าน จอมพลยังอยู่แต่เหล้ารัมได้อันตรธานไปจนหมดสิ้น ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน นอกจากบรรดาลูกเรือต่างหิวเหล้าจึงแอบจิบวันละนิด กว่าเรือจะเทียบท่าก็หมดถังพอดี เนื่องจากเหล้าที่แช่ศพได้ปนกับเลือดเนลสัน ไปด้วยทำให้ทหารเรืออังกฤษที่โดนสอบสวนได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส โดยอ้างว่าลูกเรืออังกฤษอยากดื่มเลือดท่านนายพลเพื่อที่จะได้มีความกล้าหาญเหมือน ท่านจอมพลเรือ ต่อมาทำให้เกิดประเพณีในกองทัพ เรือของเครือจักรภพรวมทั้งนิวซีแลนด์ที่ต้องดื่มเหล้า รัมซึ่งเป็นตัวแทนของเลือดเนลสัน ก่อนที่นักเรียนนายเรือจะออกเรือหนแรกเพื่อเรียกความกล้า
สำหรับเหล้าวิสกี้เองก็มีประวัติพิสดารไม่แพ้เหล้ารัม แต่ เป็นประวัติการทำอารยขัดขืน ในอังกฤษ ถ้าดูตามประวัติแล้วไวน์เป็นเหล้าของศาสนจักร แชมเปญเป็นเหล้าของชนชั้นปกครอง คอนยัคเป็นเหล้าของขุนนางชั้นสูง รัมเป็นเหล้าของชาวเรือ เบียร์เป็นเครื่องดื่มชนชั้น กรรมาชีพ วอดก้าเป็นเครื่องดื่ม รากหญ้า วิสกี้เป็นเครื่องหมาย ของเสรีชนที่สู้กับความอยุติธรรม ของกฎหมายในอดีต วิสกี้นั้นเป็นเหล้าที่เก่าแก่มีประวัติสืบเนื่องมาจากการที่ไวน์ขาดแคลน ในยุคกลาง สกอตแลนด์และไอร์แลนด์ไม่สามารถปลูกองุ่นได้ตามที่โบสถ์ต้องการ พระเจ้าเจมส์ที่สี่แห่งสกอต แลนด์ทรงพระราชทานข้าวมอลต์ให้โบสถ์นำไปทดลองผลิตเหล้าในจำนวน 1,500 ขวด ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจนเป็นวิสกี้ ทำให้วิสกี้เข้ามาแทน ที่ไวน์ แต่ว่าในยุคนั้นวิสกี้ยังอยู่ในมือของพระส่วนน้อย จนกระทั่งพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด ทรงมีพระราชดำรัสยกเลิกการผูกขาดการผลิตวิสกี้ของโบสถ์ จึงส่งผลให้ชาวนาที่ปลูกข้าวบาร์เลย์กันทั่วประเทศเริ่มหันมาปรุงเหล้ากันแทน
แต่ เมื่ออังกฤษเข้าสู่ตอนปลายของราชวงศ์สจวต ประเทศประสบปัญหาหลายอย่างซึ่งเรื้อรังมาตั้งแต่สงครามในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ ลที่หนึ่งกับนายพลครอมเวลล์ทำให้การคลังของประเทศเริ่มฝืดเคืองจึงเริ่มออก นโยบายเก็บอากรสุรา และการออกใบอนุญาตให้กับโรง กลั่นเหล้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โรงกลั่นอิสระและโรงกลั่นขนาดเล็กต้องปิดตัวลง ต่อมาเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ มาเป็นราชวงศ์วินเซอร์ที่ครองราชย์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากแคว้นฮันโนเวอร์ในเยอรมนี (ทำให้ชาวอังกฤษชอบค่อนแคะราชวงศ์อังกฤษว่าเป็นชาวเยอรมัน) บรรดาขุนนางที่จงรักภักดีกับราชวงศ์สจวตและเชื้อพระวงศ์สจวตได้กรีธาทัพมาทำ ศึกชิงราชบัลลังก์ โดยอาศัยนักรบจากสกอตแลนด์ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความจงรักภักดีมากที่สุดมารบ โดยเรียกกันว่า จาโคไบน์ แน่นอนครับ เมื่อเสร็จศึกกับจาโคไบน์ อังกฤษก็ประสบ ปัญหาทางด้านการเงินจึงต้องเพิ่มภาษีอากร ประจวบกับการที่บรรดาชาวสกอตหันไปเข้าข้างราชวงศ์เดิม จึงมีแผนการสลายวัฒนธรรมสกอตติช ด้วยการเก็บภาษี มอลต์ตามโรงกลั่นที่นำข้าวบาร์เลย์มาทำเหล้า ส่งผลให้บรรดาโรงกลั่นทั้งสกอตแลนด์ล่มจมทั้งประเทศ
คำพูดที่มีชื่อเสียงของพวกสังคมนิยมคือตายสิบเกิดแสนนั้นมีตัวอย่างก่อนที่คาร์ล มาร์กจะถือกำเนิดมาบนโลกนี้เสียอีก เพราะสกอตแลนด์ในยุคนั้นเมื่อโรงกลั่นเจ๊งบ๊งไปหมด บรรดาเสรีชนชาวสกอตจึงเริ่มหันมาต้มเหล้ากันไปทั่วประเทศ ทีนี้รัฐบาลก็แก้เผ็ดพวกหัวหมอด้วยการส่งข้าหลวงตามเก็บค่าต๋งตามบ้าน ด้วยการชี้แจงว่าเป็นข้อหาตั้งโรง กลั่นในบ้าน ถือเป็นการก่อการร้ายเพราะพบอาวุธของกลางมากมายโดยเฉพาะถังหมักเหล้า เจอไม้นี้เข้าไปม็อบสกอตแลนด์จึงหันมาวิวัฒนาการหมักด้วย การเอาโลงศพมาหมัก ทีนี้ไม้โลงศพกับไม้โอ๊กสำหรับ ถังเหล้าก็คนละอย่าง ทำให้ได้เหล้ารสชาติใหม่ แต่ทีนี้รัฐบาลก็จัดการพวกหัวหมอด้วยการสำรวจว่าถ้าเขตไหนคนตายน้อย ไม้หายไปเยอะ บ้านไหนโลงศพเพียบก็โดนตรวจอีก งานนี้สับปะเหร่อก็งานเข้า ไปก่อน ชาวบ้านก็ต้องหาทางออกต่อไป ด้วยการเอาถังสังกะสี อะลูมิเนียมมาใช้ในการหมักเหล้าแทน ตรงนี้ทำให้ชาวสกอตติชได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่คือการหมักเหล้าในปริมาณมากแบบอุตสาหกรรมด้วยการใช้ถังอะลูมิเนียม เนื่องจากเหล้าที่เราเห็นในตลาด บางยี่ห้อที่ขายกันเป็นสิบๆ ล้านลิตรต่อชนิดนั้นไม่สามารถหมักในถังไม้ได้แน่ เพราะคงไม่น่าจะหาต้นไม้มาทำถังได้พอ
ผม เคยอ่านหนังสือซึ่งมีคนพูดไว้ว่าความขาดแคลนและกันดาร ทำให้มนุษย์นำเอาสมองมา พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ แทนสิ่งที่ขาดหายไป คำพูด นี้คงไม่เป็นที่เกินเลย เพราะถ้าไม่มีการกดขี่ชาวสกอตติช เหล้าวิสกี้คงไม่มีการพัฒนามาหลายรูปแบบจนเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ อังกฤษอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
เมื่อจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอย่างนี้ รัฐบาลจึงให้ข้าหลวงไปตรวจใหม่โดยให้สังเกตจากบ้านที่มีควันออกมา เพราะการต้มยังไงก็ต้องมีควัน ยิ่งถ้ากลางวันแสกๆ แดดร้อนๆ แล้วดันมีควันออกมาจากบ้าน ไหน ท่านข้าหลวงจะรีบไปล้อมพื้นที่เพื่อจับกุมม็อบข้อหาต้มเหล้าเถื่อนทันที ถ้าฤดูหนาวอาจจะไม่เท่าไหร่เพราะคนคงจุดเตาผิงไปทั่ว ท่านข้าหลวงคงตรวจยาก แต่ถ้าฤดูร้อนใครดันจุดไฟต้มเหล้าตอนกลางวันมีสิทธิงานเข้า ชาวสกอตติชจึงหันไปต้มเหล้ากันตอนกลางคืนแทน เพราะท่านข้าหลวงและเจ้าเมืองนอนหลับหมดแล้ว แถมกลางคืนใครๆ ก็จุดไฟกันเพราะความหนาวของสกอตแลนด์ แม้ว่าจะไม่หนาวความมืดก็จะทำให้ไม่เห็นควันไปเอง ทำให้เกิดวัฒนธรรมต้มเหล้าเถื่อนใต้แสงจันทร์เรียกกันว่า Moonshine มาจนถึงปัจจุบัน เพราะว่าเสรีชนชาวสกอตติชที่ทำอารยขัดขืนต่อต้านอำนาจรัฐได้อาศัยว่า แค่เรามีเพียงถังต้มเหล้าเดียวดายภายใต้แสงจันทร์ ก็สามารถทำวิสกี้ออกมาได้แล้ว จนเป็นที่รู้กันดีว่าวิสกี้คือเครื่องดื่มของเสรีชนที่พยายามต่อต้านการลุแก่อำนาจของรัฐด้วยการทำอารยขัดขืน
เมื่อโดนมุกงานวิวาห์เดียวดาย (ของ single malt) ภายใต้แสงจันทร์เข้าไป รัฐบาลอังกฤษก็ต้องกลับไปหานโยบายใหม่ โดยนำนโยบายเก็บภาษีข้าว บาร์เลย์กับทุกครัวเรือนขึ้นมา ทำให้เกิดอารยขัดขืนแขนงใหม่ ด้วยการเอาข้าวพันธุ์อื่นผสมกับข้าวบาร์เลย์ จนทำให้เกิดเหล้าผสมอย่าง Blend ขึ้นมา เมื่อบรรลุ ธรรมว่าไม่จำเป็นเพียงข้าวบาร์เลย์ ชาวสกอตติชจึงต้มเหล้าเถื่อนกันขนานใหญ่โดยเอาพืชมาทำกันจนเกิดเหล้าที่ทำจากข้าวไรน์ ข้าวสาลี รวมถึงข้าวโพด ต่อมาไปเจริญเติบโตในอเมริกาเป็นเหล้าเบอร์เบิร์น วิสกี้จนถึงทุกวันนี้ ในยุคนั้นทำให้เกิด Grain วิสกี้ หรือเหล้าที่เกิดจากข้าวหรือเมล็ดพันธุ์พืชที่ไม่ใช่ข้าวบาร์เลย์ จนทำให้สัญลักษณ์อารยขัดขืนอย่างวิสกี้ระบาดไปทั่วเหมือนหวยใต้ดินที่ระบาดในประเทศสารขันท์
หลังจากทำสงครามจิตวิทยากับเสรีชนมาเกือบร้อยปี ในที่สุดรัฐบาลก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้โดยให้วิสกี้กลับมาอยู่บนดินได้ ด้วยการอนุญาตให้ตั้งโรงกลั่นให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเสียภาษีและใบอนุญาตตามปกติ คราวนี้ทำให้เกิดโรงกลั่นผุดขึ้น มาเป็นดอกเห็ด เพราะเมื่ออยู่บนดินได้ก็ไม่มีใครอยาก ที่จะไปอยู่ใต้ดิน โดยรัฐบาลได้ปรับแนวใหม่เพื่อ สนับสนุนอุตสาหกรรมวิสกี้สกอต เพื่อการส่งออกด้วย วิธีการแปรรูป Moonshine จากเหล้าเสรีชนเป็นเหล้า ไฮโซ โดยพระเจ้าจอร์จที่สี่ทรงเสด็จไปสกอตแลนด์เสวยวิสกี้ซิงเกิ้ลมอลต์อายุ 18 ปีของเกรนลิเวย์ ทำให้เกรนลิเวย์เป็นวิสกี้ยุคแรกๆ ที่ได้พระบรมราชานุญาต (Royal Warrant) จากพระเจ้าแผ่นดินให้โฆษณาได้ว่า เป็นวิสกี้ที่พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษทรงเสวย ซึ่งต่อมาได้เป็นบรรทัดฐานของเหล้าวิสกี้ที่มีภาพเป็น เครื่องดื่มของทั้งเสรีชน ปัญญาชน ชนชั้นกลาง และขุนนาง โดยพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ทุกพระองค์ต่างทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตแก่บริษัทวิสกี้ที่ทรงโปรด เช่นพระนางเจ้าวิกตอเรียทรงโปรดเฟมัสเกราส์จึงพระราชทานตราให้บริษัทเอาไปใช้ในรัชสมัยของพระองค์ ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบทที่สองทรงโปรดจอห์นนี่ วอล์คเกอร์ ได้ทรงพระราชทานสิทธิในการนำตรา ประจำพระองค์ให้บริษัทมาติดไว้ด้านบนของขวดอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
นอกจากพระเจ้าแผ่นดิน องค์มกุฎราชกุมารของอังกฤษก็สามารถพระราชทานตราประจำพระองค์ให้กับบริษัทที่ทรงโปรด โดยเจ้าฟ้าชายชาร์ลพระราชทานตราประจำพระองค์ให้วิสกี้บูติกยี่ห้อราฟรอยด์ ซึ่งมีกำลังผลิตเพียงสองล้านลิตรต่อปีซึ่งไม่ได้แม้แต่ 1% ของส่วนแบ่งของตลาดในสกอตแลนด์ โดยพระองค์เสด็จไปพระราชทานให้ถึงโรงกลั่นซึ่งอยู่บนเกาะนอกฝั่งสกอตแลนด์ด้วยพระองค์เองในปี 1994 ทำให้ราฟรอยด์ 15 และ 18 ปี จัดว่าเป็นวิสกี้ชั้นนำของ โลก ไม่แพ้วิสกี้บูติกดังๆ อย่างทาลิสเกอร์ อาร์ดเบค เกรนโมรังกี หรือเกรนลิเวย์
ในประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อตอนที่ตั้งประเทศนิวซีแลนด์ วิสกี้ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ผิดกฎหมายชาวกีวี โดยเฉพาะทางเกาะใต้นั้นได้ชื่อว่าเป็นเสรีชนขั้นรุนแรงอาจจะเป็นเพราะว่ามาจากสกอตแลนด์แถมอยู่ไกลหูไกลตารัฐบาลที่ลอนดอน จึงเริ่มทำการต้มเหล้าเถื่อนกัน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะที่แคว้นเซาต์แลนด์กับโอทาโก โดยเฉพาะที่เขาโฮโกนุยที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศและเป็นทำเลทองในการต้มเหล้าเถื่อน โดยต้มเสร็จก็บรรจุถังอะลูมิเนียมตามประเพณีเหล้าเถื่อนทุกประการ ในยุคนั้นตำรวจรู้ดีว่ามีการต้มเหล้าเถื่อนที่ไหน ดังนั้นการจะหมักไว้นานย่อมเป็นอันตรายจากการขอพื้นที่คืนได้ จึงต้องมีการขายออกไปให้เร็วที่สุด โดยการที่จะไปใส่ขวดขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตย่อมไม่สามารถทำ ได้ ดังนั้นทางออกในสมัยนั้นคือการขายตรง แต่จะไปเคาะประตูแล้วบอกว่า เหล้าเถื่อนมาแล้วค่ะ ก็คงทำไม่ได้เหมือนพวกบริษัทเครื่องสำอาง จึงต้องใช้วิธีแอบขาย ด้วยรถส่งนม ภายใต้โครงการสั่งนมแถมเหล้าเถื่อน พูดง่ายๆ คือเอาเหล้าที่ต้มได้บรรจุลงขวดนมและส่งไปตามบ้าน โดยถ้าบ้านไหนสั่งซื้อก็จะได้เหล้ามาในขวดนมพอดื่มหมดก็คืนขวด เดี๋ยวก็จะมีเหล้าขวดใหม่มาพร้อมกับนมเอง
นอกจากนี้ยังมีการขายในขวดที่ดูเหมือนสารเคมี โดยเฉพาะที่ผลิตจากเขาโฮโกนุยจะเอาฉลากยาพิษแบบหัวกะโหลกไขว้มาติดเพื่อให้รัฐบาลไม่ตรวจ พอรัฐบาลโดนมุกนี้เข้า เลยยอมยกธงขาวให้ นิวซีแลนด์มีโรงกลั่นได้ถูกต้องตาม กฎหมาย ยุคที่ผ่านมามีเหล้าหลายยี่ห้อ เช่น แมคเคนซี่ ซึ่งบรรจุขวด ที่เหมือนขวดนม วิลสันซึ่งเป็นเหล้าที่มาจากดันเนดิน แต่ตอนหลังไปไม่รอด ปัจจุบันออกขายในชื่อมิลฟอร์ดแทน ที่มีสีสันที่สุดคือ โฮโกนุย แม้จะ ขึ้นมาบนดินก็ยังเอาขวดยาพิษพร้อมฉลากหัวกะโหลกมาติดขายต่อไป ซึ่งมีฉลากเป็นแบบยาพิษแต่มีคำบอกกล่าวว่าเป็นเหล้า ซึ่งที่จริงก็คือยาพิษทำลายชีวิตของคนงมงาย
เมื่อให้เหล้าเถื่อนมาเป็นเหล้าเสรีได้ นิวซีแลนด์จึงเปิดเสรีด้านแอลกอฮอล์ โดยเหล้าในร้านเหล้าหลายแห่งของนิวซีแลนด์นั้นมีความหลากหลายสูงมาก มีวิสกี้ จากทั่วโลกโดยเฉพาะเหล้าแบบ Single Malt โดยทั่วไป มีกำลังผลิตเพียง 4% ของตลาดโลก ก็สามารถหาซื้อได้ ในนิวซีแลนด์ ต่อมาคำว่าเสรีนั้นครอบคลุมไปถึงการอนุญาตให้ทุกๆ บ้านสามารถต้มเหล้าได้ถ้าซื้อเครื่องมือ ที่ได้มาตรฐาน เรียกว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศ แรกในโลกที่อนุญาตให้ประชาชนทำ Moonshine กันเองโดยไม่ผิดกฎหมาย อุปกรณ์ต้มเหล้าจริงๆ แล้วสนนราคาตกอยู่ที่ประมาณ 6,000 ดอลลาร์ หรือ 150,000 บาท สามารถมีโรงต้มเหล้าเป็นของตนเอง
ปรากฏว่าเมื่ออนุญาตไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้คนหันมาทำ OTOP เหล้าเถื่อนมากมายอะไรนัก เพราะเมื่อเปิดเสรีไปหมดแล้ว การต้มเหล้าเองทั้งเสียเวลา ต้นทุนก็สูง รสชาติก็สู้เหล้าดีๆ ที่มีมอลต์อย่างดีไม่ได้ ก็ทำให้เครื่องต้มเหล้านั้นเป็นแค่งานอดิเรกของคนที่ชอบจริงๆ หรือไม่ก็นักศึกษาภาควิชา Viticulture and Oenology ที่ต้องมีห้องทดลองในการทำเหล้าของตนเองเพื่อไปเป็น Master Blender ในอนาคต
เมื่อหันมามองเมืองไทยแล้วก็ทำให้ผมเกิดข้อคิด ขึ้นมาว่า การที่เราห้ามคนทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งห้ามการโฆษณาเหล้าตามนโยบายของนักการเมืองที่เคร่งศาสนา แท้จริงแล้วไม่ได้ส่งผลดีให้กับประเทศชาติ ศาสนา หรือเยาวชนแต่อย่างใด เพราะเป็นการทำให้ เกิด Third Person Effects กล่าวคือ ท่านที่เป็นผู้ใหญ่มาห้ามคนอื่นไม่ให้ทำเพราะความหวังดีกลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาในสังคม ผมกลับมองว่ายิ่งห้าม ยิ่งมีคนดื่ม เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์แล้วยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เพราะคิดว่าเป็นการได้เรียนรู้ชีวิต
การที่เราไปขีดกฎเกณฑ์ในสังคมตาม Third Person Effect นั้น ไม่ได้ทำให้เกิดผลดี เพราะนั่นเป็นการสร้างกระแสต่อต้าน ยิ่งทำให้ขยายวงกว้างออกไป เพราะเมื่อได้ลองแล้วมองว่าทำแล้วเป็นการต่อต้านสังคมแบบอารยขัดขืน ก็จะย้ำคิดย้ำทำ จน ทำให้คนไม่น้อยหันไปติดเหล้าจริงๆ แต่ถ้าเปิดเสรีให้สิ่งที่เราห้ามนั้นให้มาเป็นสิ่งปกติในสังคม กระแสอยากลองและอยากต่อต้านก็จะน้อยลง แล้วอาจจะหายลงไปในที่สุด จากบทเรียนของนิวซีแลนด์ ทำให้ผมได้เห็นว่าถ้าอะไรที่ห้ามๆ ในอดีต ก็ไปทำให้มันอยู่บนดินให้หมด นอกจากจะควบคุมได้แล้วยังทำให้ลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วเพราะคนจะเบื่อไปเอง
ถ้าสังคมไทยเราพร้อมที่จะละความคิดแบบ Third Person Effect ได้แล้วหันมาคิดว่า ในอดีตที่ผ่านมา นักการเมือง ข้าราชการ ครูบาอาจารย์ องค์กรอิสระ ผู้ใหญ่ ชอบสอนเด็กๆ ว่า ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด เชื่อผู้ใหญ่เพราะผู้ใหญ่รู้ดี เราอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ทำไมผู้ใหญ่ไม่หันกลับไปมองตนเองสักนิดว่าที่ท่านมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะท่านได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต เพราะท่านเอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน ท่านจึงก้าวเดินต่อไป จนมีวันนี้ได้ วันนั้นท่านเชื่อตนเองเพราะท่านคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด บางอย่างที่แหกกฎเกณฑ์ในอดีตกลับมา เป็นบันไดให้ท่านประสบความสำเร็จมาแล้ว
ผมสังเกตมาหลายหนว่าเวลาที่คนไทยเรามีลูก พอลูกหัดเดิน หัดคลาน พอหกล้ม เราจะไปช่วยพยุง กว่าเด็กจะเดินเป็นเองต้องมีคนประคบประหงมกัน จนทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยต้องการให้คนอื่นมาช่วย เขาจนขาดความรับผิดชอบในสังคม ผมมองฝรั่งเลี้ยงลูก เขาปล่อยให้ลูกคลานไป พอหัดเดินจะล้มพ่อแม่ก็ยืนดู ไม่ได้แปลว่าเขาใจร้าย แต่เขาสอนให้เด็กหัดยืนด้วยตนเอง เมื่อยืนเองได้ เดินเองได้ เด็กคนนั้นก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่กล้าตัดสินใจ กล้าที่จะรับผิดชอบทั้งตนเองและผู้อื่นในอนาคต