Montfort27

Montfort 27 ของเรา => ห้องนั่งเล่น ไว้อู้ม่วน จวนหัว ประสาหมู่เฮา => ข้อความที่เริ่มโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 09:51:06 PM

หัวข้อ: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 09:51:06 PM
พอดีช่วงนี้ว่างๆ นั่งอ่าน mail เก่าๆ ที่สะสมไว้ใน จีแมวส่วนตัว
อาจเคยผ่านตาเพื่อนๆ มาแล้วบ้างก็ได้ แต่เห็นว่าเป็นข้อคิด หรือแง่คิดดีๆ
ก็เอามาฝากให้อ่านกันก็แล้วกันเน้อ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 09:56:03 PM
เริ่มที่อันแรกนะ

ศาสตราจารย์ที่สอนวิชาปรัชญายืนอยู่หน้าชั้นพร้อมของหลายอย่างวางอยู่บนโต๊ะ
เมื่อชั้นเรียนเริ่มขึ้นท่าน ศ.(เรียกง่ายๆแล้วกันนะคะ)ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง
จัดแจงหยิบขวดโหลมายองเนสที่ว่างเปล่าขึ้นมาหนึ่งใบแล้วก็เอาลูกกอล์ฟหย่อนใส่ไปจนเต็ม
จากนั้นก็ถามนักเรียนว่าขวดโหลเต็มหรือยัง
ทุกคนยอมรับว่าเต็มแล้ว

ท่าน ศ.ก็หยิบกล่องก้อนกรวดขึ้นมาแล้วเทใส่ลงไปในโหลพร้อมเขย่าเบาๆ
ก้อนกรวดก็หล่นไปยังบริเวณช่องว่างระหว่างลูกกอล์ฟ
จากนั้นท่าน ศ.ก็ถามอีกครั้งว่าโหลเต็มแล้วยัง
พวกนักเรียนก็พยักหน้าเห็นด้วย

ท่าน ศ.หยิบกล่องใส่ทรายขึ้นมาแล้วเททรายลงไปในโหลใบนั้น
แน่นอนเมล็ดทรายเหล่านั้นก็ไปเติมช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่จนเต็ม
ท่าน ศ.จึงถามนักเรียนอีกครั้งว่าคราวนี้ล่ะขวดโหลเต็มแล้วหรือยัง
ทั้งชั้นเรียนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เต็มแล้ว"

ท่าน ศ.ของเราก็เอื้อมไปหยิบถ้วยกาแฟจากใต้โต๊ะมา 2 ถ้วยแล้วจัดแจงรินลงไปในขวด
ซึ่งแน่ละว่าน้ำกาแฟไหลไปตามช่องว่างระหว่างเมล็ดทรายจนเต็ม
พวกนักเรียนพากันส่งเสียงหัวเราะ

เมื่อเสียงหัวเราะค่อยเลือนหาย ท่าน ศ.ก็เอ่ยขึ้นว่า
"เอาละ...ครูขอให้พวกเธอนึกเสมอว่าขวดโหลนี้เปรียบได้กับชีวิตของพวกเธอ
 ลูกกอล์ฟเป็นเสมือนสิ่งที่สำคัญที่สุดอันได้แก่ พระเจ้า, ครอบครัว,ลูกๆ, สุขภาพของเธอ, เพื่อนๆ และสิ่งโปรด
 สิ่งที่เหลืออยู่อันจะทำให้ชีวิตเธอยังมีความหมายแม้ได้สูญเสียสิ่งอื่นๆไปทั้งหมด"

"ก้อนกรวดได้แก่สิ่งสำคัญอื่นๆ เช่น การงาน, บ้านพักอาศัย และ รถยนต์
 ทรายหมายถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ถ้าเธอเติมโหลด้วยทรายก่อน
 ก็จะไม่เหลือที่ให้เติมก้อนกรวดหรือลูกกอล์ฟ ฉันใดฉันนั้น
 ชีวิตก็เช่นกัน ถ้าเธอใช้เวลาและพลังงานทั้งหมดของเธอไปกับสิ่งเล็กๆ
 น้อยๆ เธอก็จะไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญต่อตัวเธอ"

"จงใส่ใจกับสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อความสุขของเธอ เล่นกับพวกลูกๆ
 หาเวลาไปตรวจสุขภาพ พาแฟนไปกินอาหารนอกบ้าน เล่นกีฬาสุดโปรด
 เวลาที่จะทำความสะอาดบ้านหรือซ่อมแซมสิ่งของยังมีอยู่เสมอ"
 
 "ดูแลลูกกอล์ฟก่อนสิ่งใด, เอาใจใส่สิ่งที่สำคัญก่อน
 จัดลำดับความสำคัญให้ได้ก่อน ที่เหลือเป็นเพียงเมล็ดทราย"

นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วถามว่ากาแฟหมายถึงอะไร ท่าน ศ.ยิ้มพราง
"ครูดีใจที่เธอถาม มันเพียงแต่แสดงให้เห็นว่า
 ไม่ว่าชีวิตเธอจะดูแน่นเอียดเพียงใดก็ตาม...ยังมีที่ว่างพอเสมอสำหรับดื่มกาแฟกับเพื่อน"
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 09:58:54 PM
เค้าว่ากันว่า "ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนเรา" คือ...

การตกหลุมรักใครซักคน
การได้จูบครั้งแรก
การได้หัวเราะจนท้องแข็ง
การได้นั่งอ่านจดหมายเก่าๆในวันว่างๆ
การได้ใช้เวลาว่างในที่ๆแสนงดงาม
การได้ฟังเพลงที่ชอบทางวิทยุ
การได้นอนฟังเสียงฝนตก
เมื่อเวลาที่คุณอาบน้ำเสร็จใหม่ๆแล้วมาเจอผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ
การสอบเสร็จ

การได้รับโทรศัพท์จากใครซักคนที่คุณไม่ได้พบเจอเค้าบ่อยนักแต่คุณก็อยากจะเจอ
บทสนทนาดีๆซักบท
การเจอเงินที่คุณซ่อนไว้ตั้งนานมาแล้ว
การได้ยิ้มกับใครซักคน
การคุยโทรศัพท์ตอนดึกๆได้เป็นชั่วโมงๆ
การยิ้มได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล
การถูกชมอย่างกระทันหัน
การตื่นขึ้นมาแล้วตระหนักได้ว่ามันยังน่าจะนอนต่อได้อีกตั้ง2ชม.แน่ะ
การได้ฟังเพลงที่ทำให้คุณนึกถึงคนพิเศษของคุณ
การเป็นส่วนหนึ่งของทีม
การมีเพื่อนใหม่

การรู้สึกเหมือนผีเสื้อบินว่อนอยู่ในท้องของคุณเวลาคุณเจอหน้าเค้าคนนั้น
การผ่านช่วงเวลานึงไปได้พร้อมๆกับเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ
การได้เห็นคนที่คุณชอบมีความสุข
การได้ใส่เสื้อของคนที่เราชอบทั้งๆที่กลิ่นน้ำหอมของเค้ายังกรุ่นๆอยู่

การได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้วรู้สึกเหมือนมันไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย
การได้มองทองฟ้ายามโพล้เพล้
การได้ยินใครซักคนบอกรักคุณ
ที่สุดคือ การได้รู้ว่าเราเป็นที่รักของคนที่เรารัก ...จริงๆนะ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 10:04:35 PM
ข้อคิดเพื่อครอบครัว อ.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

1. ข้อสำคัญของการเลือกคู่ คือ เราไม่ได้เลือกใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเขามีจุดดีหลัก ๆที่เราประทับใจ
    ส่วนจุดอ่อนด้อยนั้นเป็นส่วนปลีกย่อยที่เราสามารถยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็น

2. ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ
    ถ้าเรามองไม่เห็นจุดอ่อนด้อยของเขาเลย นั่นแสดงว่า
    เรายังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง หรือไม่ เราก็กำลังตกอยู่ในความหลงใหล...จนไม่ลืมหูลืมตา

3. การแต่งงาน คือ การผูกพันกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายและยิ่งไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงธุรกิจ

4. คนที่แต่งงานเพราะความเหงา จะยิ่งเหงาหนักเป็น 2 เท่า
    แต่งงานแบบคลุมถุงชนก็มีแนวโน้มว่า ชีวิตจะมืดมนไปอีกนาน

5. ความสุข ความทุกข์ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ชีวิตหลังแต่งงาน
    คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกใคร มาเป็นคู่ชีวิต...

6. บ้านจะเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ แต่ “ความรัก” ต้องใหญ่ที่สุดในบ้าน

7. คำว่า “รัก” พูดมากไป ย่อมดีกว่า พูดน้อยไป...

8. เมื่อเรา ทำผิด....จง “ขอโทษ” เมื่อเขา ทำผิด ....จง “ให้อภัย”

9. ชีวิตแต่งงาน คือ ชีวิตแห่งการปรับตัว ถ้าไม่คิดจะปรับตัวเข้าหาใคร อยู่เป็นโสดไป ก็ดีกว่า...

10. ยอมเป็นผู้แพ้ ดีกว่า เป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากชีวิตสมรสที่หักพัง...

11. “แก้ตัว” .... ช่วยอะไรไม่ได้ “แก้ไข” .......ช่วยได้ทุกอย่าง...

12. เมื่อมีปัญหาในครอบครัว อย่าลืมใช้ความรักและหลักเหตุผลเป็นกรรมการตัดสิน ไม่ใช้ อารมณ์ หรืออาวุธ..

13. งอนแต่พองาม...ก็งามดี แต่งอนเกินพอดี ก็เกินงาม...

14. ต่างคนต่างแข็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อต่อกัน...บ้าน...ก็คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบ

15. เมื่อสามีอ่อนแอ ไม่รับบทบาทผู้นำ ความสับสนวุ่นวาย ก็ตามมา
     หรือเมื่อภรรยา พยายามแย่งบทบาทการนำจากสามี ชีวิตครอบครัวก็รอดยาก

16. ความไม่ซื่อสัตย์ ต่อกันเพียงครั้งเดียว
      ก็อาจสั่นคลอนความไว้วางใจที่มีให้กันได้ ท้ายที่สุด
      ชีวิตคู่ก็จบลงด้วยความแตกร้าว ยากเยียวยา

17. ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ปัญหา อารมณ์ ความรู้สึก
      และความสนใจของตัวเองชีวิตคู่ ก็อยู่ด้วยกันยาก

18. ก่อหนี้สินจนล้นพ้นตัว ครอบครัวก็มีแต่ความตึงเครียดทุกเช้าเย็น

19. เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายเรียกร้องและคาดหวังจากกันและกันมากเกินพอดี
      ปัญหาก็จะมีเรื่อยไป…ไม่สิ้นสุด

20. ควรตระหนักว่า...ภรรยา ไม่ใช่ผู้ปรนนิบัติรับใช้สามี แท้จริงแล้ว
      สามีภรรยา ควรเอาใจใส่ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด...ย่อมดีกว่า

21. ไม่มีอะไร ทำให้ภรรยาปวดร้าวใจ มากเท่าการค้นพบว่า สามีมีหญิงอื่นในหัวใจ

22. รักเดียว ...ใจเดียว ไม่ใช่เรื่องเชย
      แต่เป็นเรื่องดีที่สามีทุกคนในโลกควรกระทำ

23. การขอโทษภรรยาเมื่อทำผิด ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี
      แต่เป็นศักดิ์ศรีของสามี...ที่แท้จริง

24. ไม่ควรมองว่า งานดูแลบ้าน เป็นความรับผิดชอบของภรรยา
      สามีควรมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระอย่างสุดความสามารถเสมอ

25. สรีระรูปร่างหน้าตา ที่เปลี่ยนไปของภรรยา
     ไม่ควรเป็นเหตุให้ความรักในหัวใจของสามีจืดจางลงแม้แต่น้อย

26. ควรระลึกอยู่เสมอว่า ...การนำครอบครัวนั้น คือ
      การนำโดยเห็นผลประโยชน์ของครอบครัวเป็นหลักไม่ใช่ เพื่อความสุข
      ความพึงพอใจของตนเอง

27. ภรรยาที่ดี ควรสนับสนุนสามีให้ก้าวไกลในชีวิต
      ไม่ใช่ดึงรั้งให้หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลัง

28. ภรรยาที่ดี ไม่ควรใช้วิธีการบับบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้สามีตัดสินใจตามความคิดของตน

29. ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน สามีต้องการภรรยาที่สงบนิ่ง
      ช่วยกันคิดหาทางออก ไม่ใช่ภรรยาที่เอาแต่โวยวาย ตีโพย ตีพายหรือร้องไห้ฟูมฟาย
      โดยปล่อยให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้งเพียงลำพัง

30. การไม่ตีลูก เพราะกลัวลูกเจ็บ เมื่อยังเป็นเด็ก
      กลับจะทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างปัญหา
      และถูกลงโทษ... จากสังคม

31. ช่องว่างระหว่างวัย...ระหว่างรุ่น...ย่อมไม่มี
      ถ้าพ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญ และใช้ความพยายามที่มากพอ วิธีที่ดีที่สุด คือ
      พ่อแม่ควรวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับลูก ไม่ใช่ตามแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว

32. พึงตระหนักว่า ลูกไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่พ่อแม่ อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ
      เขาย่อมมีจิตใจที่มีเอกลักษณ์แห่งความชอบ ความสนใจที่แตกต่างไปจากพ่อแม่ได้เสมอ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 10:15:43 PM
วลีเด็ดๆพี่แท่ง…….

1.good night คนดี ขอให้นอนหลับฝันดี คืนนี้จะไปเข้าฝัน

2.พี่ไปส่งมั้ยน้องต้องเดินอีกไกลนะ กว่าจะพ้นใจพี่

3.เรื่องเนี้ยะ เริ่มต้นด้วยร้าย แต่ลงท้ายด้วยรักนะจ๊ะ

4.ไข่พะโล้หนะ สีดำ แต่คนทำอะ หัวใจสีชมพู

5.ติดกาแฟ เลิกได้ ติดบุหรี่ เลิกได้ แต่ติดใจเธอ เลิกไม่ได้จริงๆ

6.มีใจแค่1ดวง ครึ่งแรกบอกว่า คิดถึง อีกครึ่งหนึ่ง บอกว่า รัก

7.ที่หายหน้าไปไม่ใช่ไม่รัก แต่หมอให้พัก ลดน้ำตาล ในหัวใจจ๊ะ

8.ฉันเกิดมา อาภัพต้องอยู่แบบ หลบๆซ่อนๆ ก็ซ่อนใน หัวใจเธองัย

9.หัวใจไม่ว่าง เหมือนเดิม เพราะมีเธอ มาเพิ่มเติม ในใจ

10.อยากรู้มั้ย ฉันรักใคร ส่องกระจกสิ จะได้คำตอบ

11.ยังตัดสินใจไม่ได้ใช่ไหม เอางี้โยนหัวก้อยกัน
     ถ้าออกหัวเธอมาเป็นแฟนฉัน ถ้าออกก้อย ฉันจะยอมเป็นแฟนเธอ

12.อยากจะเขียนคำว่ารักตัวเท่าบ้าน คงต้องหากระดานแผ่นใหญ่ๆ 
     อันสมุดเล่มนี้มันเล็กไปคงต้องเอาหัวใจเขียนแทน

13.ไม่ได้คิดถึงเธอทุกนาที แต่คิดถึงเธอตลอดที่มีลมหายใจ

14.ถ้าพรุ่งนี้ผมตายไปก็คงไม่แปลก
     เพราะชีวิตผมที่เกิดมา มีหน้าที่เพียงแค่มาพบคุณในวันนี้เท่านั้นเอง

15.ผมมันคนใจแคบ ในนั้นเลยมีที่ว่างพอสำหรับคุณเพียงคนเดียว

16.เป็นการยากที่จะเข้าใจในคำว่ารัก แต่ยากยิ่งนักหากจะรักอย่างเข้าใจ

17.ผมมันเป็นคนไม่มีหัวใจ ก็เพราะหัวใจของผมนั้นดันไปอยู่ที่คุณ

18.ความรักของเราเหมือนเส้นขนาน แม้จะไม่มีวันมาบรรจบกัน แต่ก็จะเคียงคู่กันตลอดไป

19.ถึงผมจะเป็นคนหลายใจ แต่ในทุกๆ หัวใจก็มีแต่เธอ

20.โทรศัพท์มือถือยิ่งโทรยิ่งกินเงิน แต่โทรหาคุณยิ่งโทรยิ่งกินใจ

21.ผมขอถามทางคุณหน่อยได้ไหมครับ?
     ทางไปหัวใจคุณ

22.ช่วยกดลิฟท์ให้หน่อยครับ? 
     ผมจะไป ชั้น..รักเธอ

23.คุณได้ยินเสียงอะไรมั๊ยครับ....เสียงหัวใจผมมันบอกว่ารักเธอ

24.เอ่อ..ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึป่าวครับ อ๋อ คงจะเป็นในฝันของผม

25.ทำไมวันนี้ท้องฟ้าไม่สวยเหมือนทุกวัน คงเป็นเพราะคุณสินะ

26.ผมชักอึกอัดแล้วสิ ก็คุณเล่นเข้ามาเบียดอยู่ในใจผมตลอดเวลาเลย

27.เดินดีๆนะครับ...ระวังจะสะดุดรักผม

28.ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับคุณ ทำให้ผมได้เจออะไรบางอย่าง   เจอละไม ใจละเมอ

29.ผมทำให้คุณได้ทุกอย่าง ยกเว้นแค่เหาะขึ้นไปบนฟ้า กับการไม่รักคุณ

30.ผมมันเป็นคนไม่มีหัวใจ... เพราะผมเอาให้คุณไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราพบกัน

31.เมื่อคืนที่บ้านไฟดับ แต่ผมไม่ต้องใช้ไฟฉาย/เทียนเลยครับเพราะแค่นึกถึงคุณโลกของผมก็สว่างไสวไปหมดแล้ว

32.ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผม.... คุณไปอยู่ไหนมาครับ?

33.ผมยอมอายุสั้นลงไป 1ปี... แลกกับการคุยกับคุณ 1 นาที

34.ผมไม่หวังอะไร ขอแค่ได้เห็นหน้าคุณ ถึงต้องอายุสั้น ตายไปต่อหน้าคุณ ผมก็ยอม

35.รู้ตัวไหมว่าคุณคือผู้หญิงคนแรก ที่เห็นแล้วผมนึกอยากปลูกต้นรัก

36.คุณทำให้ขาผมแพลง เพราะตกหลุมรักคุณไม่เป็นท่า

37.ไม่สบายไป x-ray หัวใจมา หมอบอกว่าข้างในหัวใจมีแต่เธอ

38.ร้อนจัง อาบน้ำ ก็ยังไม่หาย นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ก็ยังไม่หายคิดถึงเธอ

39.โทษครับ กี่โมงแล้วครับ วันเวลาของผม มันหยุดไปหมดเมื่อพบคุณ

40.ถ้าคิดถึงคุณ..แล้วต้องเสียตังค์ครั้งละบาท ผมคงหมดเนื้อหมดตัวภายในวันเดียว

41.คุณท่าทางจะมีโชคนะ ผมเป็นหมอดู ดูดวงจากเบอร์โทรศัพท์ บอกเบอร์มาสิครับ ผมจะทายให้

42.ผมคงต้องไปรับลอตเตอรี่มาขายซะแล้ว เพราะความรักของคุณมันทำให้ผมตาบอด

43.ถ้าเธอเป็นโคลน ฉันจะยอมเป็นควาย จะได้จมปลักรักเธอตลอดไป...

44.เวลาเห็นหน้าคุณทีไร ผมมักจะเป็นโรคชักทุกทีเลยอะ...ชักใจอ่อน
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 10:21:48 PM
พิษณุ นิลกลัด

แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป

สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ

ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวันแล้วเผา
ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา

งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คนคือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก
เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด

วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง
เป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน

หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ
จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้กระทั่งวันตาย

ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้ เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต

วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า
"ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"
เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย
เป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร

คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์
และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้

6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้
ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"
พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"

เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !


4เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก
แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน
แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า

"ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน"

หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า "ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที"
เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง

สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"
เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า "สู้"
เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริงๆ"

ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า

"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"

“แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป”
สอนให้เรารู้ว่า...

เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์
ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต
จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง
จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข
ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ

หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด...
อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที
...แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป

ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า
การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
 
พ่อฝนหลวง

หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 10:24:51 PM
ทำนายจากเวลาเกิดของคนเรา
 
* เวลา ๐๕.๐๐-๐๖.๕๙
เป็นคนที่มีมารยาท ทำอะไรระมัดระวัง ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วน
ทำงานอะไรแล้วไม่ยอมให้ตกหล่นง่ายๆ เป็นคนใจกว้าง
ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอารมณ์เสียง่าย แต่ไม่นานก็กลับมายิ้มอย่างเดิมแล้ว ค่อนข้างเก็บตัว
ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร แต่ไม่ใช่คนแอนตี้สังคม
เพีงแต่ไม่ชอบอะไรที่วุ่นวายเท่านั้นเอง
 
* เวลา ๐๗.๐๐-๐๘.๕๙
เป็นคนที่มีบุคคลิกของความเป็นผู้นำ
ทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ง่ายเป็นคนไม่กลัวใคร ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ชอบความท้าทาย
เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์
มีความสามารถในการทำงานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี

* เวลา ๐๙.๐๐-๑๐.๕๙
เป็นคนที่ค่อนข้างเนี้ยบ ชอบความสะอาดสะอ้าน รสนิยมดี
เป็นคนที่สุภาพอ่อนโยน มีมารยาท เข้ากับคนได้ง่าย
จัดว่าเป็นคนมีเสน่ห์ทีเดียว เป็นคนที่ค่อนข้างทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิต

* เวลา ๑๑.๐๐-๑๒.๕๙
เป็นคนร่าเริง มีอารมณืขัน อยู่ที่ไหน ก็ได้เฮที่นั่น เป็นคนรักอิสระ
ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบเดินทาง ชอบการผจญภัย
การได้พบเห็นอะไรใหม่ๆ ทำให้มีความสุข เป็นคนมีชีวิตชีวา กระตือรือร้น ไม่จู้จี้ จุกจิก

* เวลา ๑๓.๐๐-๑๔.๕๙
เป็นคนที่รักสงบ ไม่ชอบอะไรที่สับสนวุ่นวาย
ทำอะไรค่อนข้างระมัดระวังจนบางทีทำให้ชีวิตหมดสนุก
เป็นคนที่ซื่อสัตย์จิตใจดี เป็นคนที่อ่อนน้อม สุภาพ ไม่ชอบทะเลาะกับใครมีความประนีประนอมสูง
ถ้ารักใครขึ้นมาละก็รักจริง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อความรัก

* เวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๕๙
เป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ
ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
มักจะทำก่อนที่จะคิด จึงต้องมีเรื่องปวดหัวอยู่เรื่อย
เป็นคนที่ฉลาดไหวพริบดี เอาตัวรอดเก่ง กล้าพูด กล้าทำ
มีจิตใจที่กล้าแกร่งเป็นคนที่ดูแล้วค่อนข้างคล่องไปสักนิด
แต่เป็นคนที่จิตใจดีทีเดียวไม่กะล่อนอย่างที่เห็นภาพนอก

* เวลา ๑๗.๐๐-๑๘.๔๙
เป็นคนที่ไว้ตัว มีความคิดที่ค่อนข้างก้าวร้าว เชื่อมั่นในตัวเองสูง
ชอบทำอะไรตามระเบียบ ค่อนข้างจู้จี้ ขี้บ่น ทำอะไรละเอียดถี่ถ้วน
ไม่ชอบทำอะไรออกนอกลู่ นอกทาง ทำงานอย่างจริงจังมีมาตรฐานในการทำงานที่สูงมาก ไม่ชอบทำอะไรชุ่ยๆ

* เวลา ๑๙.๐๐- ๒๐.๕๙
เป็นคนขยันขันแข็ง สู้งานหนักทไม่ท้อถอย ทำอะไรตรงไปตรงมา กล้าพูด
กล้าทำเป็นคนกระตือรือร้นในทุกๆ เรื่อง ไม่ชอบฝันกลางวัน
ชอบทำความฝันให้เป็นจริงมากกว่า ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ใจกว้างเป็นคนที่น่าคบ มีความจริงใจให้กับทุกคน

* เวลา ๒๑.๐๐-๒๒.๔๙
เป็นคนไม่ช่างพูด แต่โรแมนติก ชอบทำอะไรให้ประหลาดใจ ใจดี พูดจาสุภาพ
มีเสน่ห์ ไม่ชอบทำอะไรเร่งร้อน จัดว่าเป็นคนเฉื่อย
มีความนุ่มนวลอ่อนโยน

* เวลา ๒๓.๐๐-๐๐.๕๙
เป็นคนมีชีวิตชีวา ไม่อยู่นิ่ง ชอบท่องเที่ยวในที่แปลกใหม่ ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ไม่ชอบอยู่ในกรอบ เป็นคนจิตใจดี
ชอบช่วยเหลือคนอื่น
เป็นคนรักอิสระมาก ไม่ยอมผูกพันธ์กับใครง่ายๆ

* เวลา ๐๑.๐๒.๕๙
เป็นคนใจเย็น แต่ถ้าโกรธจะรุนแรง ทำอะไรเชื่องช้า ทำไปเรื่อยๆ
แต่เป็นคนที่ร่าเริงเข้ากับคนง่าย
 
* เวลา ๐๓.๐๐-๐๔.๕๙
เป็นคนชอบทำอะไรท้าทาย เชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ยอมแพ้ใครเป็นคนใจกว้าง
มองโลกในแง่ดี กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ค่อนข้างดื้อ
แต่รักใครรักจริงแต่เป็นคนตกหลุมรักได้
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 08, 2007, 10:28:41 PM
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ
 
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
                    1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
                    2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
                    3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์  มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
                    4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
                    5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
                    6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
                    7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
                    8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
                    9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
                    10. มะเร็งในลำคอ  อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
                    11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
                    12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
                    13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
                    ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
                    14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ ส่วนอันนี้เค้าฟอเวิร์ดติดมาด้วย
                    ถึงท่านผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิดสำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน
                    วิธีรักษา - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม ให้ดื่มจนหมดชาม
                    สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน
                    ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
***ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา
และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด
หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน

อันนี้จริงหรือปล่าว คุณหมอทั้งหลาย ช่วยยืนยันด้วยก็ดีนะคร๊าบ
หมดแล้วสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้จะมาต่อให้ใหม่ครับ ;)
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 08:45:32 AM
แถมๆๆๆ
พระพุทธองค์ตรัสถึงกฎแห่งกรรมว่า
อดีตชาติได้แต่ประกอบแต่กรรมดี
จึงได้เกิดมามียศสูงศักดิ์และร่ำรวยในโภคทรัพย์ ผู้ใดบำเพ็ญธรรมมาตลอดจะได้บุญวาสนาไปทุกภพทุกชาติ มนุษย์จงฟังให้ดี
ฟังตถาคตกล่าวผลกรรมของไตรภพผลกรรมของไตรภพเป็นเรื่องใหญ่
จงอย่าดูหมิ่นพุทธพจน์ จงฟังผลกรรมดังต่อไปนี้
ปัจจุบันเป็นขุนนางเพราะเหตุใด
ชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูป>>

สิ่งที่ได้รับในชาตินี้เพราะชาติก่อนทำไว้>>
ถวายเครื่องทรงสักการะพระพุทธองค์>>

ทองคำสร้างองค์ดั่งสร้างตนเอง>>
เครื่องทรงสักการะคืออาภรณ์ประดับกาย>>

ดังนั้นอย่าคิดว่าขุนนางนั้นเป็นง่าย>>
หากไม่ได้สร้างบุญก่อกุศลแต่ปางก่อนไว้ ไฉนเลยจะได้รับ>>

มีรถนั่งมีเรื่อขี่เพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน>>

มีเสื้อผ้าแพรพรรณประดับกายเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน>>

มีอาหารอิ่มสมบูรณ์เพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ยากจน>>

ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานเลยแม้แต่น้อย>>

มีตึกรามบ้านบ้านช่องเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้>>

มีบุญมีวาสนาเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนสร้างวัดสร้างศาลา>>

มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปดอกไม้เครื่องหอม>>

มีปัญญา มีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนสวดมนต์สรรเสริญพระนามพระพุทธเจ้า>>

มีภรรยาดีมีมรรยาทพร้อมเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนได้สร้างสมบุญกุศลมาร่วมกัน>>

สามีภรรยามีอายุยืนยาวเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนได้แต่งริ้วธงประดับหน้าพระพุทธรูป>>

มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจผู้กำพร้า>>

ไม่มีพ่อแม่เพราะเหตุใด >>
เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา>>

เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น>>

ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนข่มเหงรังแกลูกชาวบ้าน>>

ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ปลดปล่อยชีวิต>>

ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต>>

ชาตินี้ไม่มีภรรยาเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบผิดประเวณี ข่มขื่นลูกเมียเขา>>

ชาตินี้เป็นม่ายเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบดูหมิ่นดูแคลนสามี>>

ชาตินี้เป็นทาสเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนไม่รู้จักบุญคุณผู้อื่น>>

ชาตินี้มีตาดีเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนซื้อน้ำมันเติมตะเกียงบูชาพระ>>

ชาตินี้ตาบอดเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบอ่านหนังสือลามก>>

ชาตินี้ปากแหว่งเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนกล่าวร้ายใส่ความผู้อื่น>>

ชาตินี้หูหนวกเป็นใบ้เพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนปากร้ายด่าว่าพ่อแม่>>

ชาตินี้หลังค่อมเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนหัวเราะคนที่ไหว้พระ>>

ชาตินี้มืองอแขนคดเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนเคยตีพ่อแม่>>

ชาตินี้ขาเป๋ตีนเป๋เพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนทำลายถนนและสะพาน>>

ชาตินี้เป็นวัวเป็นควายเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนเป็นหนีเขาแล้วไม่ใช้คืน>>

ชาตินี้เป็นหมูเป็นหมาเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนมีใจคิดหลอกลวงเขา>>

ชาตินี้มีโรคมากเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนดีใจที่เห็นคนอื่นเคราะห์ร้าย>>

ชาตินี้มีสุขภาพแข็งแรงเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนบริจาคยารักษาโรค>>

ชาตินี้ติดคุกติดตะรางเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนเห็นคนตกทุกข์ได้ยากแล้วไม่ช่วยเหลือ>>

ชาตินี้อดอาหารตายเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนหัวเราะขอทาน>>

ชาตินี้ต้องถูกเขาเบื่อยาตายเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนเบื่อปลาในคลอง>>

ชาตินี่โดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนใจบาปคิดแต่จะทำร้ายผู้อื่น>>

ชาตินี้แคระแกรนเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบเหยียดหยาบดูแคลนคนรับใช้>>

ชาตินี้อาเจียนเป็นโลหิตเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนปลุกปั้นยุแหย่คนอื่นให้แตกแยกกัน>>

ชาตินี้ถูกฟ้าผ่าตายเพราะอะไร>>
เพราะชาติก่อนพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช>>

ชาตินี้ถูกสัตว์ร้ายกัดตายเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนก่อศัตรูคู่อาฆาต>>

สรรพกรรมที่ก่อไว้กรรมตามสนอง>>
ต้องตกนรกทุกข์ทรมานจะโทษใครเล่า>>

อย่าพูดว่ากฏแห่งกรรมไม่มีใครเห็น>>
กรรมสนองเร็วก็ตกที่ตัวเอง กรรมสนองช้าก็ตกที่ลูกหลาน>>

ถ้าไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่รีบทำทาน>>
ก็จงดูบุคคลที่มีบุญวาสนาสิ>>

เพราะเขาทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ชาตินี้บุญจึงตอบสนอง>>
แม้ปัจจุบันสั่งสมบุญกุศล บุญนั้นก็จะคุ้มครองถึงบุตรหลาน>>

หากใครกล่าวร้ายเรื่องกฎแห่งกรรม>>
ชาติหน้าก็ไม่ได้เกิดเป็นคนอีก(เกิดอยู่ในอบายภูมิ)>>

หากเชื่อถือยึดมั่นในกฎแห่งกรรม>>
ความเจริญมั่งมีศรีสุข ก็จะมาเยือนถึงบ้าน>>

หากใครค่อยแนะนำเผยแพร่เรื่องกฎแห่งกรรม>>
ก็จะเจริญยิ่งๆขึ้นชั่วลูกชั่วหลาน>>

หากใครยึดมั่นในกฎแห่งกรรม>>
ฆาตเคราะห์ภัยพิบัติจะอยู่ห่างไกลตัว>>

หากใครเที่ยวบรรยายเรื่องกฎแห่งกรรม>>
ทุกๆชาติจะเป็นผู้มีปัญญาเลิศ>>

หากใครหมั่นสวดมนต์ในเรื่องกฎแห่งกรรม>>
ชาติหน้าไปถึงไหนถึงไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตา>>

หากใครพิมพ์หนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมแจก>>
ชาติหน้าก็จะมีกายมงคลรุ่งโรจน์>>

หากใครถามเรื่องกฎแห่งกรรมเมื่อชาติก่อน>>
ควรศึกษาเรื่องราวของพระกัสสปพระพุทธเจ้าที่มีรัศมีแวววาว>>

หากถามเหตุผลของชาติหน้า>>
ก็ให้ดูพวกที่กล่าวร้ายพระธรรมในเมืองนรก>>

หากใครก็ตามยึดมั่นในกฎแห่งกรรม>>
ก็จะได้ไปเกิดในสุขาวดีแดนพุทธเกษตร>>

เรื่องกฎแห่งกรรมในสามโลกนี้พูดกันไม่จบ>>
สวรรค์ไม่เคยขาดคนจิตกุศล>>

ในพระรัตนตรัยเป็นแก้ววิเศษ>>
รู้จักสละบ้างผลได้รับเหลือคณานับ>>

เหมือนดั่งสะสมอริยทรัพย์ไว้ในเซฟที่มั่นคง>>
จะได้รับผลประโยชน์ทุกๆชาติไป>>

หากถามเรื่องชาติปางก่อน>>
ก็ให้ดูผลที่ได้รับในปัจจุบัน>>

หากจะถามเรื่องชาติหน้า>>
ก็ให้ดูในสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน>>
>>
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 08:48:47 AM
อันนี้ทางโลก ไม่เกี่ยวกับทางธรรม เน้อ

>คุณรู้หรือไม่ว่าผิวหนังสามารถบอกคุณได้ว่าคนๆนั้นกระตือรือร้นทางเพศหรือไม่
>มีกิจกรรมทางเพศเฉื่อยชาหรือกระปี้กรัเปร่าดีขอว่าเป็นข้อๆ
>
>1.Sex คือการบำรุงความงาม การทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า
>ขณะที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ เธอจะหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาปริมาณมาก
>ซึ่งทำให้เส้นผมเป็นเงางามและผิวหนังนุ่มนวล
>
>2.เพศสัมพันธ์ที่ค่อนข้างอ่อนโยนและผ่อนคลาย
>ช่วยลดอาการอักเสบทางผิวหนัง เช่น สิว
>และผื่นต่างๆได้เหงื่อท่ไหลออกมาเป็นตัวชะล้างรูขุมขน
>ทำให้ผิวหนังผ่องใส่
>
>3.เพศสัมพันธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ที่คุณกินเข้าไปตอนมื้อค่ำอันโรแมนติก
>
>4.sex คือการออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุด มันทั้งช่วยยืดเส้นยืดสาย
>และทำให้กล้ามเนื้อตึงในทุกๆส่วน ของร่างกาย
>อีกทั้งน่าสนุกกว่าการวิ่งจ็อกกิ้ง หรือว่ายน้ำสัก 20 เที่ยว
>เป็นไหนๆ แถมไม่ต้องซื้อรองเท้ากีฬาแพงๆ
>
>5.Sex ช่วยลดความตึงเครียดได้ดียิ่ง
>กิจกรรมทางเพศช่วยหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ในกระแสเลือด
>ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นน
>
>6.มีsexบ่อยๆคุณยิ่งได้รับสารเคมีที่มีชื่อว่า ฟีโรโมนส์
>(pheromones) มากยิ่งขึ้น
>
>7.กลิ่นตัวที่ถูกขับออกมาขณะที่มีความต้องการทางเพศ
>เป็นน้ำหอมที่ช่วยกระตุ้นเพศตรงข้ามคึกคักได้อย่างเหลือเชื่อ
>
>8.จูบกันทุกวันช่วยลดอาการฝันผุ
>การจูบกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมา
>จึงช่วยชะล้างฟันของคุณให้สะอาด
>
>9.sex แก้ปวดหัว ตลอดจนกระบวนการทางเพศจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
>ซึ่งไปปิดกั้นหลอดเลือดในสมองไว้
>
>10.ร่วมเพศบ่อยๆช่วยแก้อาการคัดจมูก
>เพราะเซ็กส์เป็นยาแอนตี้ฟิตามีนจากธรรมชาติ
>แก้อาการแพ้ฝุ่นแพ้ละอองได้ดี
>
>11.เซ็กส์เป็นยานอนหลับที่มีประสิทธิภาพดีกว่า valium หลายเท่า
>ถ้าคุณสามารถมีเซ็กส์เกิน 5 ครั้ง ในหนึ่งคืน
>
>บทความต้นฉบับอยู่ที่ห้อง ปาลาสโซ
>บทความนี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกทั้งหมด 9 ครั้ง
>และตอนนี้เซ็กส์ได้ส่งมาถึงมือคุณแล้ว หมายถึงผู้อ่านทุกคนด้วย
>จากนี้อีก 4 วันคุณจะได้รับ เซ็กส์มันส์หยด
>และหวังว่าคุณจะช่วยเผยแพร่ข้อความนี้ต่อๆไป
>ถ้าคุณไม่ส่งต่อบทความนี้
>คุณจะไม่มีวันมีเซ็กส์ที่ดีอีกเลยในชีวิตนี้คุณจะไม่มีเซ็กส์อีก
>อวัยวะเพศของคุณจะเฉาและหมดสมรรถภาพ(มันเคยเกิดขึ้นแล้วกับคนที่ไม่ปฎิบัติตาม
>ที่เราบอก)
>นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ
>
>โปรดอย่าเก็บข้อความนี้ไว้เราข้อย้ำเตือน
>บทความนี้จะต้องออกจาก อีเมลล์ของคุณภายใน 96 ช.ม.
>โปรดส่งสำเนาบทความนี้ 10
>ฉบับไปให้ใครก็ได้และคุณจะได้เห็นว่าเกิดอะไรภายใน 4 วัน
>เนื่องจากบทความนี้จะต้องเผยแพร่ไปทั่วโลก คุณจำเป็นต้องส่งมัน
>นี่เป็นเรื่องจริง แม้ว่าคุณจะไม่เชื่อเรื่องโชคลาง
>ขอให้มีความสุขทางเพศ แต่จงจำไว้ สำเนา 10
>ฉบับจะต้องผ่านอีเมลล์ของคุณ หรือเป็นทางไปรษณีย์ก็ได้ ออกไป
>ภายใน 96 ช.ม. ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่มีความสุขทางเพศอีกต่อไปเลยในชั่วชีวิต
>เสียใจละขอโทษจริงๆที่คุณพลาดไปแล้วที่ไปอ่านบทความนี้เข้า
>เพื่อความสุขทางเพศของคุณโปรดทำตามที่เราบอก
>และอย่าส่งมันกลับไปให้คนที่ส่งมาให้คุณเด็ดขาด
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 08:53:07 AM
อันเนี้ย ของลูกจายฮาเอง

คารมจีบสาว แบบโรแมนติก

1. ชาย --- ผมขอถามทางคุณหน่อยได้ไหมครับ?
หญิง --- ไปที่ไหนคะ?
ชาย --- ในหัวใจคุณครับ

2. ชาย --- คุณคงรู้สึกปวดเมื่อยขามากๆ เลยนะ
หญิง --- ทำไมล่ะ?
ชาย --- ก็คุณเข้าไปวนเวียนอยู่ในหัวใจผมเกือบทั้งวันแล้วนะ

3. ชาย --- (จ้องมองลวดลายเสื้อของผู้หญิง)
หญิง --- มองอะไรน่ะ?
ชาย --- ดูว่ามันทำมาจากสวรรค์รึเปล่าน่ะสิ

4. ชาย --- ผมวันนี้ดวงซวยเอามากๆ ถ้าได้เห็นรอยยิ้มของสาวสวยจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
ยิ้มให้ผมดูหน่อยได้ไหม ครับ?

5. ชาย --- ผมคือนักวาดรูป งานของผมคือการเพ่งมองสาวสวย

6. ชาย --- คุณครับ ผมขอยืม 5 บาทหน่อยได้ไหมครับ?
หญิง --- จะเอาไปทำอะไรล่ะ??
ชาย --- ผมอยากจะโทรบอกแม่ผมว่าวันนี้ผมได้เห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกน่ะครับ

7. ชาย --- วันนี้ฝนตกหนักจริงๆ
หญิง --- นั่นสิ
ชาย --- ก็เพราะว่าฟ้าเห็นคุณแล้วน้ำลายหกน่ะ

8. ชาย --- เชื่อผมนะ ผมจะทำให้คุณได้เป็นคนที่มีความสุขมากเป็นอันดับสองในโลกนี้นะ
หญิง --- ทำไมถึงไม่ใช่อันดับหนึ่งล่ะคะ?
ชาย --- ผมได้คุณมาเป็นแฟน... ผมก็คือคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกน่ะสิ

9. ชาย --- คุณครับ คุณครับ ช่วยส่งเชือกมาหน่อยสิครับ
หญิง --- ทำไมรึ
ชาย --- ก็ผมตกหลุมรักคุณจนขึ้นมาเองไม่ได้ไงครับ


คารมจีบสาว ในความเป็นจริง

1. ชาย --- ผมขอถามทางคุณหน่อยได้ไหมครับ?
หญิง --- จะบ้าเหรอ ฉันก็ไม่ใช่คนที่นี่สักหน่อย!!
ชาย --- !$@!#%

2. ชาย --- คุณคงรู้สึกปวดเมื่อยขามากๆเลยนะ
หญิง --- แล้วมันหนักหัวนายหรือไง!!
ชาย --- !$@!#%

3. ชาย --- (จ้องมองลวดลายเสื้อของผู้หญิง)
หญิง --- ดูอะไร!! ไม่เคยเห็นคนรึไง!!
ชาย --- !$@!#%

4. ชาย --- ผมวันนี้ดวงซวยเอามากๆ ถ้าได้เห็นรอยยิ้มของสาวสวยจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
ยิ้มให้ผมดูหน่อยได้ไหม ครับ?
หญิง --- เห็นหนุ่มรูปหล่อก็จะทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น ไปให้ไกลๆหน่อยได้มั้ย ตาบ้า!!

5. ชาย --- ผมคือนักวาดรูป งานของผมคือการเพ่งมองสาวสวย
หญิง --- ฉันคือสัตวแพทย์ งานของฉันส่วนนึงก็คือจับหมาตัวผู้มาตอนทิ้งซะ!!

6. ชาย --- คุณครับ ผมขอยืม 5 บาทหน่อยได้ไหมครับ?
หญิง --- แล้วนายมีแบงค์ 500 ยืมให้ฉันใช้รึเปล่าล่ะ?
ชาย --- !$@!#%

7. ชาย --- วันนี้ฝนตกหนักจริงๆ
หญิง --- นั่นสิ
ชาย --- ก็เพราะว่าฟ้าเห็นคุณแล้วน้ำลายหกน่ะ
หญิง --- ฉันนึกว่าฟ้าเห็นคุณแล้วอ้วกไม่หยุดซะอีก...

8. ชาย --- เชื่อผมนะ ผมจะทำให้คุณได้เป็นคนที่มีความสุขมากเป็นอันดับสองในโลกนี้นะ
หญิง --- เชื่อฉันสิ ฉันจะทำให้คุณเป็นผู้ที่โชคร้ายที่สุดในโลกนี้นะ
ชาย --- !$@!#%

9. ชาย --- คุณครับ คุณครับ ช่วยส่งเชือกมาหน่อยสิครับ
หญิง --- ทำไมรึ จะเอามาผูกคอตายรึไง
ชาย --- !$@!#%

คุณครับๆลายมือคุณสวยมั๊ยครับ
จะขอยืมไปจดทะเบียนสมรสหน่อย

เอามีดมาแทงผมสิ
แทงตรงหัวใจเลยนะ
ผมไม่เจ็บหรอก แต่คุณน่ะแหละที่จะเจ็บ
เพราะคุณอยู่ในใจผมไง

ก็ใช่นะสิ พี่มันคนไร้หัวใจ
ก็น้องเอาหัวใจพี่ไปหมดแล้วนี่

เค้าว่ากันว่าถอดสแควร์รูดน่ะมันถอดยากนะ
แต่ฉันว่าถอดเธอออกจากใจฉันมันยากยิ่งกว่าเสียอีก

คุณคะ ช่วยถอยหน่อยได้มั้ย หัวใจชั้นอยู่ใต้อุ้งเท้าคุณค่ะ
(-"-)

ถ้าฉันมีปืน 2 อัน
ฉันจะแบ่งให้เธอหนึ่งอัน
เราจะได้มี GUN และ GUN ไง
55555555555

ถ้าเธอเป็นโคลน
ฉันจะเป็นควาย
จะได้จมปลักรักเธอตลอดไป...

เดินดีๆ นะน้อง ....
ระวังจะสะดุดรักพี่ละ

ผม : นี่ๆรู้ไหม เวลาเห็นหน้าคุณทีไร มักจะเป็นโรคชักทุกทีเลยอะ
คุณไง : ?? โรคชักไรหรอค่ะ
ผม : โรคชักจะใจอ่อน

ผมนะไม่ติงต๊องหรอก แต่ Thinking Of You จ๊ะ ฮิ ฮิฮิ
( กิ๊วววววววววววววววววววว)


เธอเหมือนเป็นผงชูรส ถ้าชีวิตไม่มีเธอมันก็ขาดรสชาด


"สงสัยผมจะสายตายาวแล้วล่ะ"
"แก่แล้วล่ะซิ"
"เปล่า เพราะผมเอาแต่มองเธออยู่ห่าง ๆ "


"เมื่อวานนะเสียเวลาตั้งนาน"
"ทำไมเหรอ"
"หลงทางในหัวใจเธอ"


ดูก็รู้ คุณเป็นลูกครึ่งแน่ๆ...
...ครึ่งมนุษย์ครึ่งนางฟ้า
(-_-')
ขอปรึกษาปัญหากฎหมายหน่อยได้ไหมครับ...
...ข้อหาลักลอบแอบชอบผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
ผิดกฎหมายมาตราไหนครับ

อยากเป็นแก้วน้ำ เธอจะได้รินใจใส่ไว้

เธอไม่ต้องแปลกใจหรอกนะ ที่หาชื่อตัวเองในพจนานุกรมไม่เจอ
เพราะมันอยู่ในใจฉัน

ถึงแม้อับบลาฮัมลินคอล์นจะเลิกทาสไปแล้ว
แต่ทำไมหัวใจฉันยังตกเป็นทาสของเธออยู่เลย

คุณท่าทางจะมีโชคนะครับ..
ผมเป็นหมอดู....
ดูดวงจากหมายเลขโทรศัพท์
ไหนบอกเบอร์มาสิครับ..ผมจะทายให้
(กิ๊วววววววววววววววววววววววว)

ผมจะต้องไปรับลอตเตอรี่มาขายล่ะครับ....
ความรักของคุณ..มันทำให้ผมตาบอดซะแล้ว 

เมื่อคืนที่บ้านไฟดับ .แต่ผมไม่ต้องใช้ไฟฉาย..หรือเทียนเลยครับ...
เพราะแค่นึกถึงคุณ .โลกของผม..ก็สว่างไสวไปหมดแล้ว

เธอไม่ต้องใช้กบเหลาดินสอหรอกนะ
เพราะคำพูดและหน้าตาของเธอ
แหลมพอที่จะแทงให้ใจฉันอ่อนยวบแล้ว

อยากมี พาวเวอร์พอยต์
จะได้พรีเซ้นความรักของฉันที่มีต่อเธอได้

ตายแล้ว เธอรู้ไหม เธอทำให้ขยะล้นโลกนะ
เพราะหัวใจใช้แล้วของฉันที่เธอไม่ต้องการมันแล้วไม่สามารถรีไซเคิลได้

เธอไม่ต้องแปลกใจหรอกนะ
ที่หาชื่อตัวเองในพจนานุกรมไม่เจอ
เพราะมันอยู่ในใจฉัน

เค้าว่ากันว่าถอดแสคว์รูดน่ะมันถอดยากนะ
แต่ฉันว่าถอดเธอออกจากใจฉันมันยากยิ่งกว่าเสียอีก

เฮ้อออ เรามีแต่พาสเวิดเข้าสู่อินเตอร์เนต
แต่ไม่มีเอคเซสเข้าสู่หัวใจเธอเลย

พรมแดนที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะพรมแดนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือ ก็ไม่มีพรมแดนไหนมาคั่นหัวใจเราสองให้ห่างไกลกันได้หรอก

ผมจะไปแจ้งความให้ตำรวจไปจับนางงามจักรวาล.......ก็เธอขโมยมงกุฎไปจากคุณไม่ใช่เหรอ

ยังตัดสินใจไม่ได้ใช่ไหม เอางี้ครับ โยนหัวก้อยกัน
ถ้าออกหัว คุณมาเป็นแฟนผมถ้าออกก้อย
ผมจะยอมเป็นแฟนคุณ(น่าลองนะ)

ผมอยากไปเผาตำราภาษาศาสตร์ทิ้งไปให้หมดทั้งโลก...เพราะกะอีแค่หานิยามความรู้สึกของผมในตอนนี้
แค่นี้ยังไม่เห็นจะทำให้มันบรรยายออกมาเป็นภาษาได้เลย

ถ้าพรุ่งนี้ผมตายไปก็คงไม่แปลก...เพราะชีวิตผมที่เกิดมา
มีหน้าที่เพียงแค่มาพบคุณในวันนี้เท่านั้นเองแหละ

อยากเอาชีวิต ผมหรอ.......ยิงเลยสิครับ.ยิงมาที่กลางหัวใจผมเลย...แต่คุณจะเจ็บหน่อยนะ เพราะในนั้นหนะ...............มีคุณอยู่


ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:00:38 AM
ดีๆ ครับ mac มาช่วยๆ กันรวบรวมกันเอาไว้
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:06:04 AM
อันเนี้ยดีมากๆๆ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:07:57 AM
เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...
" ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อย..ได้มั๊ยคะ"
คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น..
  
เมื่อห่อผ้าน้อย ๆ ..อยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก..
เพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ ..
กรี๊ดดดด.....เธอกรีดร้อง
หมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว
  
** เด็กทารกที่เกิดมา...ไม่มีใบหู**
  
และแล้ว....กาลเวลาพิสูจน์ว่า.... การได้ยินของเจ้าหนู..ไม่มีปัญหา
ปัญหา..มีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือ....ใบหูที่หายไป
หลายครั้ง..ที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียน แล้ววิ่งมาบอกแม่
  
เธอรู้ว่า..หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...
เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้า
" พวกเด็กตัวโต .. พวกมันล้อผมว่า
..
-- ไอ้ตัวประหลาด--"
  
จนกระทั่ง... เจ้าหนูเติบโตขึ้น..หล่อเหลา.. เป็นที่รักของเพื่อน ๆ..
เค้ามีพรสวรรค์ ในด้านอักษรศาสตร์.. วรรณคดี..และดนตรี..
เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น
...
  
แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น... ทำให้เค้า..ไม่อยากเจอใคร
" ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก" แม่กล่าว..ด้วยความสงสารลูก
พ่อของเด็กชาย.. ปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...
" ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาค..แต่ใครล่ะ..จะเสียสละใบหู..เพื่อเด็กน้อยคนนี้" คุณหมอกล่าว
  
จนกระทั่ง ... 2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย..
" ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่..หาคนบริจาคใบหู ที่ลูกต้องการได้แล้ว...แต่นี่เป็นความลับ"  

การผ่าตัด..สำเร็จด้วยดี และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น..
.... เค้ากลายเป็น..ผู้มีพรสวรรค์...
เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย
จนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่น
ต่อมาได้แต่งงาน... และทำงาน.. เป็นข้าราชการในสถานทูต
  
วันหนึ่ง.. ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า..
" พ่อครับ.. ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา ใครช่างให้ผมได้มากมาย..
แต่ผมไม่เคยทำอะไร.. เพื่อเค้าได้เลยสักนิด"
  
" พ่อไม่เชื่อว่า.. ลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอก..
เรื่องนี้..เป็นความลับ เราตกลงกันแล้ว"
พ่อตอบ..
  
หลายปีผ่านไป....
มันยังคงเป็นความลับ
  
และแล้ว..วันนึง..วันที่มืดมิดที่สุด.. ผ่านเข้ามา..ในชีวิตของลูกชาย
แม่เค้าได้เสียชีวิตลง..
เค้ายืนข้าง ๆ พ่อ... ใกล้ :-X บศพของแม่
  
พ่อเรียกเค้า..
" มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ ๆ นี่"
พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวล
  
ผมสีน้ำตาลแดง..ถูกเสยขึ้น จนมองเห็นใบหน้า..
ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ
  
... และแล้ว.. สิ่งที่ทำให้ลูกชาย..ถึงกับต้องตะลึง..
... ใบหูของแม่...หายไป!..
  
แม่ไม่มีใบหู...
" นี่เป็นคำตอบ.. ที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต"...
พ่อกระซิบผ่านลูกชาย
  
" แม่บอกพ่อว่า..เธอดีใจ.. ที่ได้ทำอย่างนี้..ตั้งแต่วันผ่าตัด..
  
แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย..
ไม่มีใคร..มองเห็นว่า.. เธอไม่สวยจริงมั๊ย ?
- - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - -
  
จงจำไว้..
  
~ สิ่งมีค่า..ที่แท้จริง ~
ไม่ได้อยู่ที่..การมองเห็น.. หากแต่อยู่ที่..
~ สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น ~
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
  
~ ความรัก..ที่แท้จริง ~
  
ไม่ได้อยู่ที่.. เราได้ทำอะไร.. แล้วมีคน..รับรู้..
  
หากแต่อยู่ที่.. สิ่งที่เรา..กระทำ..แล้วไม่มีใคร..รับรู้ ..
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
  
~ ความรัก ~
  
บางครั้ง.. ไม่จำเป็น.. ต้องพูดพร่ำเพรื่อ..
  
หากแต่อยู่ที่....การกระทำ.. ซึ่งเรา..อาจรับรู้..
  
เพียงแค่..ฝ่ายเดียว..
  
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
  

อ่านจบแล้ว..ใช้สมอง..ตรึกตรองสักนิด..
  
ถ้าพรุ่งนี้..เราตายไป..
  
บริษัท..
สามารถหาคนมาแทนเราได้
ภายในไม่กี่วัน..
  
แต่ครอบครัวเรา..
ต้องสูญเสีย..
และคิดถึงเรา..ไปตลอด
  
เราได้ใช้ชีวิต..กับการทำงาน
มากกว่าครอบครัว..หรือเปล่า ?
  
ถ้ามากกว่า...
ก็เป็นการลงทุน..
ที่ไม่ฉลาดเลยจริง ๆ..
  
[ ส่งต่อเรื่องดีๆมาจาก.. คุณอรพรรณ ศรีวิชัย นักศึกษาปริญญาเอก
  
มหาวิทยาลัยมหิดล]
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:13:24 AM
คำถามจากแม่
 
 
แม่ของผมเคยถามผมว่า ส่วนไหนของร่างกายที่สำคัญที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทายสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูก
 
เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กเล็ก
ผมเคยคิดว่าเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์
ดังนั้น ผมจึงบอกแม่ว่า "มันคือ หู ผมไง"
แต่แม่บอกว่า "ไม่ใช่จ้ะ คนจำนวนมาก หูหนวก แต่ก็ยังอยู่ได้"
ลูกลองคิดดูไปก่อนนะ แล้วเร็วๆนี้แม่จะถามลูกใหม่

หลายปีผ่านไปก่อนที่ แม่จะถามผมเรื่องนี้อีกครั้ง
ตั้งแต่ที่ผมทายผิดครั้งแรก ผมก็พยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ถูกต้องตลอดมา
และในตอนนี้ผมบอกกับแม่ว่า "การมองเห็น สำคัญมากสำหรับทุกๆ
คนดังนั้นมันต้องเป็นตาของเราแน่เลย ที่สำคัญที่สุด"
แม่มองมาที่ผม และบอกกับผมว่า
"ลูกเรียนรู้ได้เร็วมากแต่ว่าคำตอบก็ยังไม่ถูกจ้ะ
เพราะว่า ยังมีคนอีกมากมายที่ตาบอดแต่ก็ยังอยู่ได้"
อึ้งไปอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงพยายามค้นคว้า หาความรู้ต่อมาอีกหลายปี
และแม่ก็ยังคงถามผมอีก หลายครั้ง และทุกครั้ง คำตอบของแม่ก็คือ "ไม่ใช่จ้ะ
แต่ลูกก็ฉลาดขึ้นทุกๆครั้ง นะจ๊ะ ลูกรัก"
 
จนเมื่อปีที่แล้ว ปู่ของผมตายลง ทุกคนในบ้านเศร้าใจกันมาก ทุกคนร้องไห้
แม้แต่พ่อของผมก็ร้องด้วย ผมจำได้ดีเพราะว่ามันเป็นเพียงครั้งที่สอง
ที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ แม่มองมาที่ผม
ตอนที่เรากล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายต่อคุณปู่
แล้วแม่ก็ถามผมว่า "ลูกรู้หรือยังส่วนไหนของร่างกายเราสำคัญที่สุดลูกรัก"
ผมรู้สึกงุนงง ที่แม่ถามผมตอนนี้ ผมคิดตลอดมาว่าคำถามนี้เป็นเกมส์
ระหว่าผมกับแม่ แม่มองเห็นสีหน้ามึนของผม และก็บอกว่าคำถามนี้สำคัญมากลูก
มันแสดงให้เห็นความจริง ในชีวิตของเรา
สำหรับอวัยวะต่างๆที่ลูกเคยบอกกับแม่ว่าสำคัญ ในอดีตที่ผ่านมา
และแม่ได้บอกกับลูกว่า มันผิดมาตลอด
พร้อมกันนั้นแม่ก็ได้ยกตัวอย่างให้ลูกฟังว่าทำไมมันถึงผิด
แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกจะได้เรียนบทเรียนที่สำคัญที่สุด
แม่ ก้มลงมองมาที่ผม
ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่แม่คนหนึ่งจะทำได้
ผมเห็นตาแม่เอ่อด้วยน้ำตา และแม่ก็พูดว่า

"ลูกรักส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็คือ บ่า จ้ะ"
 
ผมถามแม่ว่า "เป็นเพราะว่ามันคอยรองรับหัวของเราไว้ ใช่มั้ยครับ"

แม่ตอบว่า "ไม่ใช่จ้ะ แต่เป็นเพราะว่ามันสามารถรองรับ ศีรษะของเพื่อนของเรา หรือคนที่เรารัก
เมื่อยามที่เค้าร้องไห้ คนเราทุกคนต้องการบ่าใครซักคนไว้คอยซบยามร้องให้ในบางช่วงเวลาของชีวิต”

ลูกรัก แม่เพียงแต่หวังว่า
ลูกจะมีเพื่อนและคนรักที่จะมีบ่าพร้อมที่จะให้ลูกซบตอนร้องไห้
ยามเมื่อลูกต้องการตรงนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดของร่างกายเรา
คือการไม่เห็นแก่ตัว และมันคือความรู้สึกร่วมรับรู้กับความเจ็บปวดของคนอื่น
 
คนเราอาจจะลืม สิ่งที่คุณพูด.......
คนเราอาจจะลืมสิ่งทีคุณทำ.........
แต่ไม่มีใครลืม สิ่งที่ทำให้เค้า "รู้สึก" ได้......
 
ต้นฉบับของจม.ฉบับนี้มาจาก ไหนไม่ทราบ
แต่มันจะนำพรประเสริฐมาสู่คนที่เผยแพร่ข้อความนี้ออกไปต่อๆกัน

เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า....
คุณไม่ได้เห็นมันตลอดเวลาหรอก
แต่คุณรู้ว่า พวกเค้าอยู่ที่ตรงนั้นกับคุณ ตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:14:04 AM
อันเนี้ย ฝากถึงสาวๆๆทุกคนเลยนะจ้ะ

สถิติประชากรผู้ชาย 100 คน
เป็นเกย์ 30 คน
เป็นสามีของเกย์ 20 คน
มีเมียแล้ว 20 คน
อยู่ในคุก 10 คน
มุ่งสู่นิพพาน 5 คน
หน้าตาอุบาทว์มากๆ 5 คน
ไร้สมรรถภาพ 5 คน
เป็นเอดส์ 3 คน
อยู่ในโรงพยาบาลบ้า 1 คน
จากสถิติดังกล่าว ผู้ชาย 100 คน เหลือใช้ได้เพียง 1 คน
สาวเอย...ผู้ชายมีน้อยโปรดใช้สอยอย่างประหยัด
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:19:46 AM
เอาไว้สอนกัยลูกสาว

> >>>>> >>ความลับกับลูกสาว
> >>>>>> >>ความลับกับลูกสาว( เรื่องนี้ดีมาก )
> >>>>>> >>ในค่ำคืนนึง... หลังจากกราบพระกับคุณพ่อ คุณแม่แล้ว
> >>>>>> >>คุณพ่อเรียกลูกเข้าไปพบแล้วบอกลูกว่าพ่อมีอะไรให้ดูซึ่งสำคัญมาก
> >>>>>> >>ว่าแล้วคุณพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อเอามือกำไว้
> >>>>>> >>พ่อถามว่าอยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ ลูกพยักหน้า
> >>>>>> >>ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที
>ลูกทำตาม..
> >>>>>> >>คุณพ่อว่า ไม่พอ ต้อง 5 ที
> >>>>>> >>และเปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที จนลูกอุทธรณ์...
> >>>>>> >>ก็ลูกอยากทราบนี่คะว่าเป็นอะไร เมื่อคุณพ่อแบมือออก
> >>>>>>มันคือเหรียญ 5
> >>>>>> >>บาทธรรมดานี่เอง
> >>>>>> >>คุณพ่อหัวเราะ ! ! ! แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม
> >>>>>> >>ถามว่าอยากดูอีกมั้ย
> >>>>>> >>ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที ลูกว่าหนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ
> >>>>>> >>คุณพ่อว่า
> >>>>>> >>เอ้า... เขกพื้น 1 ทีก็ได้
> >>>>>> >>ลูกก็บอก
>ว่าทราบแล้วไม่อยากดูอีกเบื่อ
> >>>>>> >>คุณพ่อว่าให้ดูฟรีๆ
> >>>>>>ก็ได้แล้วก็แบมือออก ลูกก็ดูไปอย่างนั้นเอง
> >>>>>> >>คุณพ่อเลยสอนว่า " นี่ละลูก อะไรที่เป็นความลับคนมักยอม
> >>>>>> >>ทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา อยากดู อยากรู้ อยากเห็น
> >>>>>> >>แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว
> >>>>>> >>ดูบ่อยๆแล้วก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรี ๆ ยังไม่อยากดูเลย
> >>>>>> >>
> >>>>>> >>แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนสำหรับลูกผู้หญิง
> >>>>>> >>เป็นสิ่งที่มีค่าถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร
> >>>>>> >>ไม่ต่างกับเหรียญ 5
>บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก"
> >>>>>> >>
> >>>>>> >>เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราควรจะรักตัวเอง
> >>>>>>
>
>>>เพราะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตสำหรับผู้ชายก็ควรจะเก็บอาการหน่อยเพราะว่าถ้าไม่รู้จักสงบจิตสงบใจ
> >
> >>>>>> >>สิ่งดีๆก็อาจจะหลุดลอยไปได้โดยง่ายนะครับ
> >>>>>> >>
> >>>>>> >>ใครที่อ่านแล้วคิดว่าดีก้ควรจะแบ่งปันให้คนอื่นอ่านมั่งนะครับ
> >>>>>> >>ส่งไปให้ซัก 5-10 คนก้ยังดีนะครับ


หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Chat601 ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:20:26 AM
ชาตินี้ตาบอดเพราะเหตุใด>>
เพราะชาติก่อนชอบอ่านหนังสือลามก>>


 บรึ๋ยยย ไผห๊า...ตี้จ้างเซาะอ่านการ์ตูนคนใหญ่ ระวังเน้อ  :D
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:28:02 AM
"Wishing Well" ความตายที่สวยงาม


เราทุกคนรู้ว่า "ความตาย" คือ ปลายทางของชีวิต แต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไร ตรงกันข้ามมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่รู้ตัวดีว่า พวกเขากำลังเดินไปสู่ความตายและอยู่ใกล้มันขนาดไหนทุกวินาทีที่ผ่านไป
 
หากใครมีโอกาสขึ้นไปบนชั้น 16 ตึก สก รพ.จุฬาลงกรณ์ จะพบเด็กๆ โกนหัวจนล้านเลี่ยนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเรียงราย เขาและเธอเหล่านี้เป็นโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป เมื่อรักษาไปได้ระยะหนึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ไม่สามารถรักษาต่อไปได้ จะแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครองถึงทางเลือก 2 ทาง คือ หยุดการรักษาทางเคมีการแพทย์แล้วกลับไปอยู่บ้าน แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์และใช้ชีวิตตามปกติ   
 
แต่ถ้าหากพ่อแม่เด็กตัดสินใจทางเลือกใหม่ คือ การหยุดรักษาทางเคมีแพทย์ แล้วให้รักษาแบบประคับประคอง โดยให้เด็กมีคุณภาพจิตที่ดี ทำให้มีความสุขก่อนจากโลกนี้ไป แพทย์จะส่งต่อมาที่ Wishing Well หรือ โครงการส่งชีวิตสุขสมหวังก่อนสิ้นลม แทนที่จะนอนรอความตายอยู่กับยาพาราแก้ปวดหรือสิ้นลมในห้องไอซียูอย่างเดียวดาย
 
"เม่น" เด็กผู้ชายวัย 6 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งเยื่อหุ้มปอดมานาน 2 ปีแล้ว เขามีอาการครั้งแรกเมื่อปลายปี 2547 ขณะเดินถือหม้อหุงข้าวอยู่เขาหันมาบอกแม่ว่า "ขอพักก่อน เหนื่อย เดินไม่ไหว" หลังจากนั้นแม่ก็พาไปหาหมอที่คลินิกประจำ และได้รับคำแนะนำให้ไปที่ รพ.บางพลี รพ.ศิครินทร์ ก่อนจะส่งต่อไปยัง รพ.จุฬาฯ ตรวจวินิจฉัยโรค บังเอิญว่าเป็นช่วงปีใหม่และเกิดพิบัติภัยสึนามิ จึงต้องรอผลการตรวจ ระหว่างนี้แพทย์จะเจาะน้ำออกจากปอดทุกวันๆ ละ 500-800 ซีซี
 
1 ทุ่มตรง วันที่ 4 มกราคม 2548 ครอบครัวน้องเม่นจึงรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วโรคที่เด็กชายวัย 6 ขวบกำลังเผชิญอยู่ คือ มะเร็งเยื่อหุ้มปอด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียง 1 ในล้าน โอกาสรักษาหายมีเพียง 80% ขณะนอนรักษาตัวอยู่ที่ตึก สก ชั้น 18 น้องเม่นต้องทำเคมีบำบัด 3 สัปดาห์ครั้งและครั้งละ 3-5 วัน มากถึง 17 ครั้งด้วยกัน และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
 
หลังจากเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์หมอไม่พบมะเร็งอีก จึงให้พักฟื้น 3 เดือน น้องเม่นกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง ไปโรงเรียนได้ วิ่งเล่นได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ
 
แต่แล้วอีก 6 เดือนต่อมา เมื่อหมอนัดตรวจอีกครั้ง น้องเม่นและครอบครัวก็ต้องพบกับข่าวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เด็กชายในวัยซุกซนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 เดือนเท่านั้น หมอจึงแนะนำทางเลือกให้ 2 ทาง คือ รักษาต่อซึ่งโอกาสหายน้อยมาก กับการหยุดรักษาแล้วใช้ชีวิตตามปกติ ไปโรงเรียนตามปกติ พาไปเที่ยวที่เด็กอยากไป
 
ครอบครัวและน้องเม่นเลือกวิธีที่ 2 คือ การอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของคนในครอบครัว ในวาระสุดท้ายของชีวิต เที่ยวทะเลบางแสน สวนสนุกดรีมเวิลด์ สยามโอเชี่ยน เวิร์ล และไปทำบุญตามวัดต่างๆ
 
"โหน่ง ชะ ชะ ช่า" คือ ดาวตลกในดวงใจของน้องเม่น ก่อนช่วงสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง เจ้าหน้าที่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง โทรศัพท์ติดต่อไปยังตลกชื่อดัง โหน่งกำลังทำงานอยู่ต่างจังหวัดบอกกับ "นิลอุบล จันทร์โหนง" เจ้าหน้าที่ให้หามือถือที่เปิดเสียงได้ "จะเล่นตลกให้น้องฟัง" ก่อนจะบอกลาน้องเม่นให้หลับให้สบายเมื่อการแสดงสั้นๆ จบลง
 
ในขณะที่ทุกคนในห้องหัวเราะกับเสียงของโหน่ง ชะ ชะ ช่า น้องเม่นหลับสบายไปพร้อมกับเสียง "พี่โหน่ง...มาแว้วววว"
 
ในขณะที่ "น้องรุ้ง" เด็กผู้หญิงอีกคนอยากเพ้นท์เล็บเจ้าหน้าที่ก็พาช่างมาเพ้นท์เล็บถึงเตียงผู้ป่วย หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ น้องรุ้งก็จากโลกใบเล็กๆ นี้ไปอย่างสงบ พร้อมกับเล็บที่เพ้นท์ด้วยสีสันสวยงาม และรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
 
แต่สำหรับ "น้องซี" วัย 7 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม้จะต้องทนทุกข์ขนาดไหน น้องซีก็ยังมอบความสุขให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ ในมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง ด้วยการร้องเพลงให้ฟัง กลายเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังเล็กๆ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ระดมเงินมาช่วยเหลือและก็ได้ครบในวันที่น้องซีจากไป
 
ด้าน "น้องเจมส์" เด็กฉลาดที่อยากไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสารธารแห่งความหวัง แอบทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการให้ "อ้อม พิยดา อัครเศรณี" ไปกับเขาด้วย น้องเจมส์กึ่งตกใจกึ่งดีใจ และวันที่น้องเจมส์จากไปนางเอกสาวชื่อดังถึงกับหลั่งน้ำตา
 
เด็กผู้หญิงอีกรายวัย 12 ปี มีความหวังสุดท้ายของชีวิต คือ การเสริมดั้งจมูก เพื่อจะได้พบกับ "แอนดริว เกร้กสัน" แต่การตามตัวดาราดังไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงหาวิธีเข้าไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ตบอกว่า มีคนไข้ต้องการเจอตัว และเขาใกล้จะเสียชีวิตแล้ว
 
ไม่นานต่อมา กลางดึกคืนหนึ่งแอนดริวในสภาพหนวดเคราเฟิ้ม เพราะกำลังถ่ายละครเรื่อง "คนระลึกชาติ" ก็โผล่เข้ามาให้กำลังใจเด็ก สร้างความประทับใจกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ป่วย แล้วอีก 2 วันต่อมา เด็กก็เสียชีวิตลง
 
"ความฝันของเด็กๆ มีหลากหลาย ทำง่ายและทำได้ทันที เช่น เด็กคนหนึ่งอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี เราก็สั่งมาให้ตอนนั้นได้เลย เด็กบางคนอยากไปเดินเล่นสวนลุมฯ เราก็พาไป" นิลอุบล จันทร์โหนง สรุป
 
ก้าวเข้าปีที่ 4 แล้ว สำหรับโครงการ Wishing Well ซึ่งมีความหมายอยู่ 2 ประการ คือ การรักษาให้หายกับคำอธิษฐานสุดท ้ายที่เป็นจริง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ต่อชีวิตและส่งชีวิตเด็กๆ ไปแล้ว 35-40 ราย เฉลี่ยมีคนไข้เสียชีวิต 3-5 คนต่อปี โดยเด็กๆ หลายคนสุขสมหวังกับปรารถนาสุดท้ายของชีวิต จากไปด้วยรอยยิ้มอย่างสงบสุข ถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าว่า มีเวลาเหลืออยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้อีกนานแค่ไหน
 
หลังจากนั้นพวกเขาก็จะจากไป ไม่มีวันกลับมาอยู่ดูความศิวิไลซ์บนโลกใบนี้อีกต่อไป !!!

 

<<มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง>>
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:31:02 AM
สาว 7 ประเภท ที่หนุ่มๆ หวาดหวั่น

ประเภทบ้าแฟชั่น
============

แฟชั่นเขาไปถังไหน ไม่ต้องไปเปิดหนังสือแฟชั่นให้เมื่อยหรอก ดูที่การแต่งตัวของสาวประเภทนี้แหละ เจ้าหล่อนจะไม่มีวันยอมล้าหลังใครแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงจะอดข้าวอดน้ำเพื่อเก็บเงินเอาไปซื้อเครื่องแต่งต ัวก็ยอม ขอให้ได้สวยไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง



ประเภทฝันถึงเจ้าชาย
===============

สาวประเภทนี้คล้ายกับซิลเดอร์เรลล่า ที่รอคอยให้เจ้าชายมาช่วยฉุดให้พ้นจากปัญหา มีผู้ชายอยู่ใกล้ตัว หล่อนจะเหมือนกับคนปัญญาอ่อน ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่เปิดกระป๋องด้วยเครื่องเปิดกระป๋องง่ายๆ ก็ทำไม่เป็น ต้องให้ "เขายื่นมือมาช่วย" แล้วหนุ่มคนไหนจะทนได้ล่ะ อยากรู้นัก



ประเภทไม่ยอมพรากจรรยา
===================

เป็นคนที่บูชาตัวเอง และเคร่งครัดศีลธรรมจรรยา จะไม่มีความสุขเพราะความรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองตลอดเ วลา พลอยทำให้หนุ่มคู่ควงไม่สบายใจไปด้วย



ประเภทพูดเรื่องเซ็กส์ได้สบายปาก
=======================

ประเภทนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า "เซ็กซี่ไซเรน" คือเห็นก็รู้ว่าเป็นคนชอบเรื่องพรรณนั้น แต่งเนื้อแต่งตัวก็ชะเวิกชะวาก ยั่งยวนใจ พูดจาสัปดน ดูๆก็เป็นสาวในฝันของผู้ชายอยู่หรอก เพราะพูดจากันรู้เรื่องเร็วดี แต่ไม่เป็นงั้นน่ะซี พอเอาเข้าจริงๆหล่อนจะขืนแข็งหรือชาเย็น เรียกว่าล่อให้หนุ่มคึกเล่นเท่านั้น



ประเภททำเหมือนแม่
==============

ความจริงหล่อนหึงน่ะ แต่หนึ่งในแบบที่ว่าพยายามให้ชายพึ่งพาหล่อน เพื่อที่ว่าผู้ชายจะไม่ได้ทิ้งหล่อนไปไหน ผู้ชายอาจจะได้เงินทองของมีค่า หรือการช่วยเหลือจากหล่อน คล้ายๆกับที่ลูกที่มีแม่เป็นผู้จัดการหาทุกสิ่งทุกอย ่างให้ ดูมันก็ดีหรอก แต่จริงแล้วต่อไปหล่อนจะคุมจนผู้ชายนั้นแทบจะไม่มีโอ กาสเป็นตัวของตัวเอง



ประเภทเอาแน่ไม่ได้
=============

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะหล่อนเป็นสาวสังคม ชอบสังสรรค์ไปทั่ว ชอบรู้จักคนโน้นคนนี้ แสวงหาแสงสีให้กับตัวเองอยู่เสมอ ดูผิวเผินหล่อนเป็นเครื่องปรุงรสชาติได้อย่างดี แต่ก็ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่นานหน้ากากหล่อนก็จะหยุดออกเผยให้เห็นสภาพที่แท้จ ริงของการเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวรักเดี๋ยวไม่รัก



สุดท้าย ประเภทไม่ยอมออกความเห็น
==========================

เรียกได้ว่าหล่อนมีอาการเป็นช้างเท่าหลังเต็มที่ แฟนว่าไง ฉันก็ว่างั้น หลีกเลี่ยงหรือไม่ยอมออกความคิดเห็นของตน

ฉะนั้น ถ้าคุณไม่อยากอยู่ใน 7 สาวดังที่กล่าวมานี้ ก็ใส่เกียร์จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็แล้วแต่สะดวก ไปให้ไกลเท่าที่จะไกลได้
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:46:29 AM
มูลค่าของชีวิต (น้ำตาซึม)~

"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย"
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น

พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า
"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"
"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"

ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่
มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย
ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ
ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมอง
ป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม

"พี่หนอม มีไรหรอคะ"
"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน
ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้
แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ
เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"

ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ
แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด  แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้
รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ
คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า

"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก
แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"
"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่" ฉันถามต่อ

แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก
จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ
รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน
และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"
"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"
"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"
"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ
มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว
ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ
อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง
แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง
ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ
ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ

หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ
สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า
เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน
แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย
เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ
ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น
แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก
คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน
หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้
หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที

แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก
ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม
อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท
เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย
แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ
และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน
ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล
นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่
โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันที
เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา
แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่
โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด                       0 บาท
ค่ายาทั้งหมด                 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ         0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด          0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

             นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร'
> >
> >
> >
> >
> >
> >
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:54:05 AM
อันนี้ของป๋าเมศ เคยส่งมาให้นานแล้วนะ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 09:55:54 AM
ส่วนอันนี้ก็นานแล้วเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 09, 2007, 10:08:29 AM
ฉันได้รับข้อความนี้จากเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
ซึ่งเพื่อนคนนี้ได้เลือกไปแล้ว
ฉันเองก็ต้องเลือกเหมือนกัน และฉันก็เลือกแล้ว
คราวนี้ตาพวกคุณแล้วล่ะที่จะต้องเลือกบ้าง

เรื่องมีอยู่ว่า.....
ชายคนหนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา
เพราะนำเงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วนหนึ่งซึ่งมีราคาแพง
ในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง
และเค้าก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขานำกระดาษสีทองราคาแพงนั้น
มาห่อกล่องของขวัญเพียงเพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส
แต่กระนั้น...ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น
และพูดว่า " นี่สำหรับพ่อค่ะ "
พ่อของเธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้
แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเขาพบว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า
เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า

"ลูกไม่รู้จริงๆอย่างนั้นหรือว่าการจะให้ของขวัญใคร มันจะต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย? "

เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา และพูดว่า

" โอ...พ่อจ๋า มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม "

ชายคนนั้นสะอึก ตัวชาด้วยความเสียใจ
เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น
เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา กับท่าทางโกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา

ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูกสาวของชายคนนั้นไป
และว่ากันว่าเขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้น
ไว้ข้างเตียงตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว
และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ
หรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็น
เขาจะเปิดกล่องใบนี้ เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ
แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อย ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา

ในความเป็นจริง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทอง
ซึ่งบรรจุด้วยความรัก ที่ปราศจากเงื่อนไข และรอยจูบจากลูกๆ , ครอบครัว และ เพื่อนๆ
ไม่มีสมบัติใด ล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

ตอนนี้คุณมี 2 ตัวเลือกแล้วล่ะ คุณจะ...

1. ส่งข้อความนี้ต่อไปยังเพื่อนๆ และ ญาติๆ ของคุณ หรือ
2. ลบมันทิ้งซะ แล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรกระทบใจคุณเลยแม้แต่น้อย

อย่างที่เห็นนี่ล่ะ ฉันได้เลือกข้อ 1 ไปแล้ว

เพื่อนคือของขวัญ ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วยเท้า เมื่อปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร

มองโลกในแง่ดี และปฏิบัตดี

ฉันขอขอบคุณสำหรับ....

สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น

สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่ เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน

สำหรับภาษีที่ต้องเสีย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ

สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้ เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง

สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีกิน

สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน เพราะนั่นหมายถึงฉัน กำลังได้รับแสงแดด

สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด เพราะนั่นบ้านถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา

สำหรับคำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระ ในการที่จะแสดงความคิดเห็น

สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้ และฉันมีรถ

สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่

สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้

สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่

และสุดท้าย.......สำหรับอีเมล์ที่ส่งมาหาฉันมากมาย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเพื่อนๆ และ ญาติๆ ที่คิดถึงฉันอยู่
หัวข้อ: clip vdo จาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 20, 2007, 10:11:13 AM
ขอลองคลิปดูบ้างเน้อ
หัวข้อ: ขุดเอาข้อคิดดีๆ กลับมาฝากอีกรอบ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ตุลาคม 03, 2007, 04:33:47 PM
ถอนหญ้า

" ก๊อกๆๆๆๆ " 
เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มาพร้อมๆกับเสียง 
ที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า " ตื่นนอนได้แล้ว 
จะได้ช่วยกันทำงาน " เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงีย สลึมสลือ 
มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น " อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว " 
" นี่วันหยุดนะเนี่ย " เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง

" เดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปถอนหญ้าที่ไร่นะ " 
พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย 
เด็กน้อยพยักหน้าตอบและลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน

หลังจากทานอาหารเสร็จ 
เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด 
แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณ 
สภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งานซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่

ในระหว่างทางเด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด 
เขาป้อนคำถามที่อยากรู้

ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด 
โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว 
ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภาระกิจที่จะต้องทำ

" ถอนหญ้า... 
ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งหญ้าเปรียบเสมือน 
ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่ "

" เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ "

พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่แปลงผัก 
เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผักทีละต้น 
ทีละต้น จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่ 
หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น

" ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ปะ " 
เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก

" กลับมาเร็วๆนะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง " 
เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย หลังจากได้พักกินน้ำ

พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อยพร้อมกับพูดว่า 
" เอ้า...เอาไปถากหญ้า " 
เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภาระกิจต่อ

ดูเหมือนกับว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับ 
การใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน

เหตุผลก็คือ มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว 
ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับ 
ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ

หลังจากที่ภาระกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน 
ระหว่างทางเด็กน้อยถาม

" ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ ทั้ง ๆ ที่ทำงานได้เร็วกว่า "

พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว

ผ่านไป 1 สัปดาห์ พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก 
สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ

** แปลงที่ใช้มือถอน 
บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลยแม้แต่ต้นเดียว แต่...

** แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม

" ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ " 
เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย 
ทั้งๆที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

พ่อตอบ 
" แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ 
เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน

ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ 
เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น 
มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก

มันก็เหมือนกับปัญหาต่าง ๆ ที่เราพบเจอนั่นแหละ 
ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้ 
ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมา 
สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก

แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันอาจจะยากสักนิด 
แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้ "

เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ 
" จงหันหน้าสู้กับปัญหา...จัดการที่สาเหตุ... 
และ...อย่าท้อถอย "
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มีนาคม 31, 2008, 09:47:48 AM
ห่างหายไปนาน เอากลับมาให้ใหม่อีกครั้งไม่ว่ากันนะ

 Do you know what is family? Do you really understand what is behind the word family? It gives me a shock when I know the answer. So long I never realize I don't know the real m eaning of family..........

Here Is The Answer ........... FAMILY = 
 

(F)ather

(A)nd

(M)other

(I) =I

(L)ove

(Y)ou


 

WHY does a man want to have a WIFE? Because:

(W)ashing

(I)roning

(F)ood

(E)ntertainment


 

WHY does a woman want to have a HUSBAND?

because:

(H)ousing

(U)nderstanding

(S)haring

(B)uying

(A)nd

(N)ever

(D)emanding



Do you know that a simple 'HELLO' can be a sweet one?

Especially from your love one. (I mean not only from the boyfriend/girlfriend).

The word HELLO means :

(H)ow are you?

(E)verything all right?

(L)ike to hear from you

(L)ove to see you soon!

(O)bviously, I miss you ..

หัวข้อ: THE SEED Story
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มีนาคม 31, 2008, 09:59:35 AM
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา   
แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขามารวมกันและพูดว่า
"ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วหล่ะ และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณเนี่ยะแหละ"
พวกหนุ่มต่างรู้สึกช๊อกกันใหญ่ เขาพูดต่ออีกว่า
"วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก  1  ปี กลับมา   
และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบขึ้นที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือกจะได้เป็น CEO คนต่อไป "

นักบริหารหนุ่ม   คนหนึ่ง ชื่อ จิม   เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆ ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น   
เขาได้รับเมล็ดมา 1   อัน   และกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น   เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง
ดิน และปุ๋ย   เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้   พวกเขาดูแล   รดน้ำมาตลอด
ผ่านไปสามสัปดาห์   พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่น ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพื่ชที่เขาได้รับ
และเริ่มเจริญเติบโต . แต่จิม   ก็เฝ้าดูทุกวัน   แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา 
3  สับดาห์ ผ่านไป  ...
4  สับดาห์ ผ่านไป  ... 
5  สับดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง   
ตอนนี้หนุ่ม   ๆ ได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว 
แต่จิม ไม่มีอะไรจะพูด   เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา  เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว   
ผ่านไป  6   เดือน   ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา
เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว
ตอนนี้ทุก ๆ   คนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิม   ที่ไม่มี
แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน
แต่เขาก็ยังเฝ้าดูแล   รดน้ำ มันมาตลอดเวลา     ผ่านไปครบ  1   ปี
ทุกคนก็ได้นำต้นไม้   ไปให้ CEO   ได้ตัดสิน   
แต่จิมพูดกับภรรยาว่า   ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่
แล้วภรรยาบอกเขาว่า   ให้พูดความจริงออกไป   ว่ามันเป็นยังไง
จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด   เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต   
แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก  ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ
เข้าไปในห้องทีได้นัดหมายกันไว้   เมื่อจิมมาถึง   เขาแปลกใจมากว่า
ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวย และแข็งแรงกันหมดทุกคน   
เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ   
มี  2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ

เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง   เขาได้ทักทายทุกๆ คน  แต่จิมก็แอบหลบอยู่ข้างหลัง
โอ   ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน   เอาละ   
หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็น  CEO   กันวันนี้แหละ 
แต่พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง
เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิม   ขึ้นมาข้างหน้า
จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิด
ว่าเขาล้มเหลว   และเขาอาจจะถูกไล่ออก     เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง
ท่านประธานก็ถามว่า  เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ
จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง  ยกเว้นจิม   
ท่านมองมาที่จิม   และก็ประกาศว่า    CEO   คนต่อไปก็คือ .......   จิม "
จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง   เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี   
เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร   
และท่านประธานก็พูดว่า  เมื่อปีที่แล้ว   ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน
ให้พวกคุณดูแล รดน้ำมันทุกๆ   วัน   แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว   
ดังนั้น   มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร  พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม     
นำต้นไม้ที่   สวย งาม มาให้ผม นี่ก็แสดงว่า
เมื่อพวกคุณพบว่า   เมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ
จิม   เป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง 
และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้   มาให้ผม
ดังนั้น   ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป

คติธรรม   ที่ได้
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์                   คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี                              คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน   คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร               คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา                คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก           คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย                      คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น   ตรองดูซักนิด   ว่า คุณจะปลูกอะไร  คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Chat601 ที่ เมษายน 03, 2008, 04:01:37 PM
ไม่รู้จะเอาไว้ไหน แต่มันเป็น fw mail ง่ะ ขอฝากไว้นี่ได้ป่าวท่าน Admin ไม่งั้นก็ช่วยโยกย้ายให้ด้วยตามความเหมาะสมนะ ขอบคุณค่ะ


เนื่องจากรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเขาเป็นทหารอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พี่เขาอยู่ที่ปัตตานีครับ และเขาขอความช่วยเหลือเรื่องยารักษาโรคต่างๆ และอุปกรณ์อาหารการกินที่นั่น หมอหรือพยาบาลเขาใช้วิธีการเวียนไปตามรพ. รัฐต่างๆ ให้มาอยู่ ขาดแต่ยา เพราะว่าที่นั่นใช้คำว่าขาดแคลนจริงๆๆ ขนาดไปขอรับบริจาคร้านขายยาและโรงงานผลิดยาเขาก็ให้มา แต่ไม่พอ เพราะคนที่นั่นถูกยิงกันทุกวัน เด็กก็ไม่กล้าออกไปหาหมอเพราะไม่มีตังค์ ตอนนี้ต้องเอาหมอทหารเข้าไปรักษาชาวบ้าน และที่สำคัญที่นั่นกองทัพเขามีงบประมาณในเรื่องยารักษาโรคน้อยมาก
    จึงเรียนมาเพือ่ขอบริจาคยารักษาโรคทุกชนิด บางครั้งต้องประสานงานตามวัดต่างๆ เพราะเวลาถวายสังฆทานเขาจะมียามาให้ด้วยน่ะครับ เลยเรียนมาเพื่อขอความกรุณาเพื่อนๆ ทุกท่านช่วยกันรวบรวมยาหรือเวชภัณฑ์ต่างส่งไปช่วยด้วยนะครับ แต่ถ้าไม่สะดวกกรุณารวบรวมด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะหาวิธีไปรับกับท่านเองแต่ถ้าสะดวกจะส่งเองก็ได้ครับ เพราะที่นี่ขาดมาก ส่งที่อยู่มา ให้เพื่อจะได้ส่งของมาช่วยกันครับ

พันตรี สุวพจน์  จุลกทัพพะ รอง ผบ.ฉก 24 (พัน.ร.234)
ศูนย์ฝึกอาชีพวัดช้างให้ ตู้ ปณ.10 ปณ.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี 94180
เขียนมุมกล่องบนขวามือว่า "ทบ.สนามชายแดน" ครับ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ เมษายน 23, 2008, 11:59:12 AM
ข้อคิดดีๆ เอามาฝากครับ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: KITTI ที่ กรกฎาคม 15, 2008, 05:58:37 PM
 -11
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 16, 2009, 08:52:50 PM
สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น
 
พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
 ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
 
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
 เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
 และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
 เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
 
 
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
      ๑.   ดื่มน้ำให้มาก     
    ๒.   กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง  และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
      ๓.   กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
      ๔.   ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
           และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
      ๕.  หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
      ๖.   เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
      ๗.  อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
      ๘.  นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
      ๙.  นอนวันละ 7 ชั่วโมง
     ๑๐.   เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
     ๑๑.   ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
 
     นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
   ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
 
 
  สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
 
        ๑.  อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
      ๒.   อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
      ๓.  อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
      ๔.  อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
      ๕.  อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
      ๖.  จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
      ๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
      ๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
      ๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
      ๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
      ๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
      ๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
      ๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
      ๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
       
 แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
      ๑.    อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
      ๒.    จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
      ๓.   จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
      ๔.    จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
      ๕.    พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
      ๖.    คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย
      ๗.    งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
 
 
  และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
       ๑.   ทำสิ่งที่ควรทำ
       ๒.   อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
          ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
       ๓.   เวลาย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
       ๔.  ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
       ๕.  ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
       ๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
       ๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า  หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
       ๘.  เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 16, 2009, 09:10:08 PM
การบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้

> 1. อย่าเป็นนักจับผิด   
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก '   คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '

> 2. อย่ามัวแต่คิดริษยา   
' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน   ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '
คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร '   ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน   
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟสุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป


> 3. อย่าเสียเวลากับความหลัง   
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น '
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
  ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '
' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น '   ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา


> 4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ   
' ตัณหา ' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ   ธรรมชาติของตัณหา คือ ' ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม '   
ทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม   เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์   
เราต้องถามตัวเองว่า ' เิกิดมาทำไม ' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ
คำว่า ' พอดี '   คือ ถ้า ' พอ ' แล้วจะ ' ดี '     รู้จัก ' พอ ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข '
หัวข้อ: นิทาน : บะหมี่ในวันปีใหม่ที่ซับโปโร
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 20, 2009, 08:57:35 PM
วันที่ 31 ธันวาคม 2528  ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร 
 
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คน แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี 
 
 ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ 
 
เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา "เชิญนั่งครับ"
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า  "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ" 


เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก 
 
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" 


เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า

"บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"   


บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม  ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง 


"ทานเถอะครับ"  ลูกคนพี่พูด 
"แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน 


ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า

 
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"  พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป 
 
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 


ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ 


 ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี  วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น

   
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย  เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง 
 
"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ" 
 
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ" 
 
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง 

พลางตะโกนว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า  "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ" 
"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" 
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า...... 


"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ" 
 
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย 
 
"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ " 
"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว" 
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ" 
 
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป 
 
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"  มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป 
 
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง   
 


 ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก  สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว  สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น.  พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป 
 
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"  และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง  เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ   


 22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก  ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม 
 
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ" 
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย  ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า

 
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"

"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" 
 
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า 
"บะหมี่น้ำสองชาม" 
"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" 
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป  ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก 
 
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

 
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก" 
"ขอบคุณ ?" 
"ทำไมครับ" 
"เรื่องเป็นอย่างนี้  .......คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ  และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น  ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน" 
 
"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"  ผู้เป็นพี่ตอบ 
 
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร 
 
"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม  แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว" 
"จริง ๆ หรือครับ แม่"

 
"จริงสิจ๊ะ  นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์  ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด" 
 
"ว้าว แม่ครับพี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

 
"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ" 
 
"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ " 
 
   "แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง" 
 
"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ" 
 
"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย" 
 
"เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม รุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…" 
 
"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ 
อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…" 
 
 
"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…" 
 
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป 
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ 
 
"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า ....... 
"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ " 
 
"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ" 
 
"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร" 
 
"เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่ น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ " 
 
"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ" 
 
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี 
จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป  เจ้าของร้านมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า 


"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 
 
.......... และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง

 
 
 พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย  แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย 
 
ปีที่สอง ปีที่สาม 
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม 
 
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย 
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ 
 
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม 
 
"นี่มันเรื่องอะไรกัน" 
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา 
 
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา 
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข" 
 
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป 
 
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้

 
 
 ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี 
 
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว

 
 
ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว  เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก 
 
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม 
 
พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออก ๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน 


 
 
 เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น. 
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ

ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน 
 
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน 
 
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า 
"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"  เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น 


ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน 
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า 
 
"เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ" 
 
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว  ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า  เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก 


"พวกคุณ .. พวกคุณ" 
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ 
 
ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ  เถ้าแก่เนี้ยว่า 
 
"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้" 
 
"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว" 
 
"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น  ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ  ......ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า  พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร  และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

 
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า

 
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอแล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า 


"อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้  "โต๊ะจอง"  ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า" 
 
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

 
"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง" 
 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า

 
"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม" 
 
หากดูกันตามจริงแล้ว  สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย  มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ  รวมทั้งคำอวยพรว่า

"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง 
 
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์  คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 


 
  นิทานเรื่องนี้บอกว่า --- อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้ 
 
เราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก 


ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น .....แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ 
 
เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า 
 
"ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้" 
 
 ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริงๆ จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Mor-Rim-Doi ที่ กรกฎาคม 20, 2009, 09:18:24 PM
ขอบคุณที่แบ่งปัน
เรื่องราวดีๆแบบนี้ครับ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 12:01:38 AM
แล้วจะหามาฝากใหม่ครับ เรื่องนี้อ่านแล้วน้ำตาซึมจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Lion King ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 01:45:51 AM
อ้าวซวยแล้วซิกู :try:
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: akadiki ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 05:36:50 AM
แฮ้งเหล้า ขี้เกียจอ่าน  -02
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 08:12:19 AM
อ้าวซวยแล้วซิกู :try:
ซวยไรเฮีย หรือว่าน้ำตาซึมกับเปิ้นโตยง่ะ  :no1:
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: บาย603 ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 09:03:22 AM
อ้าวซวยแล้วซิกู :try:
ซวยไรเฮีย หรือว่าน้ำตาซึมกับเปิ้นโตยง่ะ  :no1:
สิงโตนำ้ตาซึมละซิ -021
หัวข้อ: นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 09:22:48 AM
ความรักนอกกำมือ
โดย ชลนิล
หลายคนเคยบอก...มนุษย์เรามักไม่เห็นคุณค่าสิ่งของที่อยู่ในกำมือ
ตราบเมื่อสูญเสียมันไป ถึงได้รู้ค่าของมัน
แล้วค่อยมานึกเสียดาย...
...เสียดายแน่หรือ?...น่าแปลกที่ฉันคิดผิดแผกจากผู้อื่น...
งานเลี้ยงรุ่นคืนนี้ครึกครื้นกว่าทุกปี เพราะนายเอก ประธานรุ่นของเรา สามารถพาตัว “ลาน” เพื่อนร่วมรุ่นที่กลายเป็นศิลปิน ดารานักร้องชื่อดัง สาว ๆ กรี๊ดกันทั่วเมืองมาได้
ทุกคนสนุกสนานกันใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนหนุ่มสาวที่ห้อมล้อม หยอกล้อลานเป็นดาวล้อมเดือน
ลานยังเหมือนเดิม เป็นผู้ชายยิ้มง่าย หัวเราะง่ายเข้าได้กับเพื่อนทุกคน สมัยเป็นนักเรียนหัวเกรียน เขาแทบไม่ฉายแววดาราดังเลย แค่เด็กหนุ่มตัวสูงโย่ง ผอมขาว หน้าตี๋ ตาตี่ ๆ แต่มีแววบริสุทธิ์ใส ไม่เป็นพิษภัยกับใคร
“ลาน ขอลายเซ็นหน่อย จะเอาไปให้ลูก” แป๋ว เพื่อนสาวร้องบอกต่อเขา
“หา...อะไรนะ เธอมีลูกแล้วเหรอ” ลานแกล้งทำตาโต ตกใจ
“ย่ะ รอเธอมาขอไม่ไหว เลยรีบเออออกับหนุ่มคนแรกที่มาจีบ” แป๋วตอบอย่างร่าเริง
หลายคนหัวเราะครื้นเครง จะมีสักกี่คนรู้ กว่าแป๋วจะมายืนยิ้มตรงจุดนี้ได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง...
ที่จริงเธอพลาดตั้งท้องตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ต้องหยุดเรียนไปคลอดลูกเป็นปี กัดฟัน อดทนกลับมาเรียนใหม่จนจบ ระหว่างนั้นต้องทำงาน เรียน และแบ่งหน้าที่เลี้ยงลูกกับแฟนจนเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่เพื่อนสนิท
แป๋วเป็นตัวอย่างของเพื่อนที่พลาดล้มแล้วไม่ยอมท้อถอย รอยยิ้มของแป๋ว เป็นยิ้มที่ผ่านคราบน้ำตามาไม่รู้กี่ครั้ง
--000---
งานเลี้ยงของเราได้รวบรวมเพื่อนฝูงสมัยมัธยมที่แยกย้ายกันไปเรียน และเพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานหลังจบมหาวิทยาลัยกันไม่กี่ปี จึงมีความหลากหลายของสีสันอาชีพมาเล่าสู่กันฟัง แต่ละคนมีความสดใสของวัยหนุ่มสาวที่ยังมองโลกในแง่ดี นัยน์ตามีประกายงดงามความหวังของวันข้างหน้า
“เอาล่ะ ต่อไปนี้เป็นการเผาดารา” เอก ประธานรุ่นประกาศก้องถึงไฮไลต์ของงาน
“เฮ้ย ไหนบอกว่างานนี้ไม่มีการเผากันไงวะ” ลานรีบโวยวาย
“เฮอะ ขืนบอกไป ก็หลอกให้เอ็งมางานนี้ไม่ได้สิ...” เอกย้อนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มีใครอยากรู้เรื่องความรักครั้งแรกของไอ้ลานกันบ้าง”
เสียงเฮรับ ยกมือกันสลอน ข้าวปลาอาหารวางเต็มโต๊ะแทบไม่มีใครสนใจ เครื่องดื่มในแก้วถูกปล่อยทิ้งจนน้ำแข็งละลาย
“ตอนนั้นมันอยู่ม.๕” เอกเริ่มเรื่อง “แอบไปปิ๊งสาวคนหนึ่งเข้า คอยแอบตามต้อย ๆ ไปส่งเขาที่บ้านทุกวันโดยผู้หญิงเขาก็ไม่รู้”
“ใครวะ ใครวะ” แทบทุกคนอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
เอกยิ้มกริ่ม ไม่ตอบ แกล้งเล่าต่อ
“มันคอยตามไปส่งเขาจนขึ้นม.๖ โน่นแน่ะ”
“เออ...แล้วยังไงต่อ” เพื่อนเร่ง อยากรู้
“แม่สาวนั่นก็เพิ่งสังเกตเห็นน่ะสิ”
“โหย...ความรู้สึกช้าจัง” มีเสียงบ่นปนหมั่นไส้ “แล้วยังไงอีก”
“ผู้หญิงคนนั้นก็จู่โจมถามไอ้ลานตรง ๆ เลยว่า...ตามมาทำไม บ้านไม่ได้อยู่ทางเดียวกันสักหน่อย” เอกหลิ่วตาล้อเลียนเพื่อนหนุ่มคนดัง
“เป็นไงลาน...บอกรักเลยหรือเปล่า” มีคำถามถึงเจ้าตัว
เจ้าของเรื่องไม่ตอบ เอาแต่อมยิ้มนั่งฟังราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“ฟังกูนี่ ๆ...เดี๋ยวเล่าต่อเอง” เอกรีบเรียกความสนใจคืน
พอเพื่อนหันกลับมาให้ความสนใจ เขาก็ต่อเรื่องด้วยประโยคเด็ด
“ไอ้ลานมันก็เอ๋อไปสามวิฯ แล้วตอบว่า...เอ่อ...เราต้องมาซื้อก๋วยเตี๋ยวฝากแม่ก่อนกลับบ้านน่ะ!”
เพื่อน ๆ ต่างฮาครืน รวมทั้งลานและฉันด้วย...ความทรงจำย้อนไปถึงวันนั้น...เนิ่นนานหลายปี แต่รู้สึกราวกับเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน...
-----000-----
“ฉันไม่เคยรู้เลยนะ ว่าแถวบ้านมีก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย” จำได้ว่าฉันเคยตอบไปอย่างนั้น
“เหรอ...งั้นส้มตำล่ะ แม่เราชอบกินส้มตำเหมือนกัน แถวนี้มีส้มตำอร่อยหรือเปล่า” สีหน้าท่าทางของลาน ทำให้ใครเห็นก็อดขันไม่ได้
“นี่ลาน นายมีอะไรกับฉันก็บอกมา”
“เอ่อ...ก็...มีนิดหน่อย” เขาตอบแบบเขิน ๆ
“ว่ามาสิ มัวอ้ำอึ้งอยู่ได้” ฉันเริ่มรำคาญนิด ๆ
“คือ...ฉันชอบเธอน่ะ” คำพูดโพล่ง ๆ ง่าย ๆ ของเขาทำให้ฉันอึ้งไปนานเหมือนกัน
เด็กมัธยมสมัยนั้นไม่ไร้เดียงสากับเรื่องพวกนี้แล้ว หนุ่มสาวควงกันเป็นแฟนออกเกร่อ ฉันก็เคยมีผู้ชายมาจีบเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีใครดูบริสุทธิ์ จริงใจเหมือนลาน
ฉันจำคำพูดตัวเองต่อจากนั้นไม่ได้แล้ว รู้แค่มันเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของวันที่สวยงามครั้งหนึ่งในชีวิต
-----000-----
“สรุปว่าไอ้ลานมันก็จีบติด” เสียงเอกเรียกฉันกลับสู่ปัจจุบัน
“ทำไมไม่มีใครรู้เลยว่าไอ้ลานมันมีแฟน” มีคนสงสัย
“โธ่...ตอนนั้นไอ้ลานมันไม่ใช่คนดังนี่หว่า อีกอย่างผู้หญิงเขาก็ขี้อาย เลยคบกับแบบเงียบ ๆ ไม่ยอมเปิดตัวให้ใคร ๆ รู้กัน”
“เออ...แล้วยังไงต่อ” เพื่อนอยากรู้ตอนจบ
ฉันหันไปมองลานโดยไม่ตั้งใจ พบว่าเขาทอดสายตารออยู่ก่อนแล้ว แววตามีรอยยิ้มของมิตรภาพที่เห็นแล้วก่อให้เกิดความอบอุ่นใจ
“คบกันแค่ปีเดียว มันก็อกหักตอนจบม.๖” เอกสรุป
“อ้าว ทำไม?”
“ผู้หญิงบอกว่ามัน “ดี” เกินไป” คำตอบนี้เรียกเสียงแหวะจากคนฟังทั่วหน้า
ฉันอมยิ้ม จำได้ว่า...ไม่เคยพูดอย่างนั้น
“โหย...น้ำเน่า...แล้วทีนี้ไอ้ลานทำไงล่ะ”
“มันก็ไปนั่งดีดกีตาร์ ร้องเพลงอกหักอยู่กลางถนน รอให้รถมาเหยียบ” เอกตอบ
“แล้วมันรอดมาได้ยังไงวะ” ความสงสัยยังมีต่อ
“โธ่...ก็รถที่ไหนจะมา...มันไปดีดกีตาร์ร้องเพลงเศร้ากล่อมหมากลางถนนในซอยบ้านมัน แล้วซอยนั้นมันตัน ไม่มีรถผ่านหรอก”
“แหม...แต่ก็ดีนะ ไม่งั้นเราคงไม่ได้มีเพื่อนเป็นศิลปินดังอย่างนี้แน่”
รอยยิ้มจุดพราวในดวงตาลาน เป็นรอยยิ้มของคนที่มองความเศร้าในวันวานเป็นเพียงสายลมที่ผ่านเลย ไม่อาจมาเกาะเกี่ยวหัวใจให้เป็นทุกข์ได้อีก
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครวะ โคตรโง่เลย” เพื่อนผู้ชายบางคนสงสัย...เรื่องราวความรักครั้งนั้น มีเพื่อนสนิทรู้ไม่กี่คน
“นั่นสิ ถ้าเขามาเห็นลานตอนนี้นะ รับรองต้องร้องไห้ เสียดายแทบผูกคอตาย ที่ปล่อยให้ลานหลุดมือ” สาว ๆ ออกความเห็นบ้าง
ฉันอมยิ้ม เคยถามใจตัวเองตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นลานขึ้นเป็นนายแบบหน้าปกนิตยสารชื่อดังครั้งแรกแล้วว่า...เสียดายหรือไม่ ที่ปล่อยผู้ชายดี ๆ คนนี้ให้หลุดมือ...
ไม่เลย...ฉันตอบด้วยสัตย์จริง ซึ่งคงไม่มีใครเชื่อ
-----000-----
ช่วงเวลาหลังจบม.๖ เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต พ่อกับแม่ฉันแยกทางกันด้วยเหตุผลที่เด็กไม่เข้าใจ มันทำให้ฉันหวาดกลัวอนาคต ไม่มั่นใจในเรื่องของความรัก กลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวความผิดหวังอย่างคาดไม่ถึงที่อาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ
ฉันบอกเลิกลาน ด้วยเหตุผลมากมายที่ตัวเองก็จำไม่ได้...ความรู้สึกแท้จริงที่ยากจะบอกใครก็คือ...ฉันกลัวตัวเองเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกก่อน กลัวจะต้องเสียใจอย่างแม่ ที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินคำบอกลาจากพ่อ
ฉันไม่รู้ว่าอนาคตความรักระหว่างตนเองกับลานจะเป็นอย่างไร ถ้าความรักมันเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยบอกใครล่วงหน้า ถ้าหากอนาคตจะมีการเลิกรากัน ฉันก็ขอเป็นฝ่ายเลือกที่จะบอกเลิกเสียในวันนั้น ก่อนที่จะต้องเสี่ยงกับการถูกเขาทอดทิ้งอย่างเจ็บปวดเจียนตายอย่างแม่
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเป็นฝ่ายชอบเฝ้าดูความรักของเพื่อนในแต่ละคู่ เห็นคู่รักหลายรูปแบบประสบความสุข ความทุกข์ สลับกัน มีระยะเวลาแห่งการคบหา ที่สั้นยาวกำหนดไม่ได้ คาดการณ์ไม่ถูก
น่าแปลกที่พอฉันถอยมาเป็นผู้เฝ้าดูความรักของเพื่อนฝูง ความขลาดกลัวความรักในใจก็เลือนหาย มุมมองความรักในใจก็เปลี่ยนไป รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ลานยังติดต่อมาสม่ำเสมอในรูปแบบของเพื่อน ซึ่งฉันไม่เคยปฏิเสธ รักษามิตรภาพของเราอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนเขาเริ่มมีชื่อเสียง เวลาน้อยลง การติดต่อก็ห่างออกไป สิ่งหนึ่งซึ่งยังดำรงในใจคือความรู้สึกดี ๆ ที่งดงามเสมือนดอกไม้ไมตรี
ฉันมักรู้สึกว่าสัมพันธ์ฉันท์คู่รัก จะมีคำว่า “คนของเรา” อยู่เสมอ ราวกับว่าตนเองสามารถกำใครสักคนไว้ในกำมือ โดยที่เขาไม่อาจหลุดรอดไปได้
ทั้งที่จริง ไม่เคยมีใครเป็น “ของเรา” อย่างถาวร แม้จะใช้ความรักเป็นเครื่องพันธนาการก็ตาม
เพราะกระทั่ง “ความรัก” ก็ยังไม่เป็นตัวของมันเอง มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่...อยู่นานแค่ไหน หายไปอย่างไร มีใครบังคับ ชี้นำได้บ้าง
ฉันไม่เคยปฏิเสธความรู้สึก “รัก” ในหัวใจ แต่ก็ไม่ได้ยึดถือมันเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งใหญ่เหมือนเพื่อนหนุ่มสาววัยเดียวกัน
-----000-----
งานเลี้ยงสังสรรค์ยังสนุกสนาน เฮฮาตามประสา ลานถูกเพื่อนอีกกลุ่มลากตัวไปร้องคาราโอเกะ วงสนทนาเผาดาราก็แตกโดยปริยาย แป๋วลุกมานั่งข้าง ๆ พยักพเยิดให้ฉันมองไปทางลานแล้วถามทีเล่นทีจริง
“แน่ใจน้า...ว่าไม่เสียดาย” แป๋วเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าลานเคยจีบฉัน
“จะให้ย้ำกี่ครั้งกันยะ” ฉันแกล้งขี้เกียจตอบ
“อ้าว เผื่อเปลี่ยนใจไง ลานเขายังน่ารักเหมือนเดิม หายากจะตายผู้ชายแบบนี้”
ข้อนั้นฉันไม่เถียง แต่อยากบอกแป๋วเหมือนกันว่า...พ่อฉันก็เป็นคนดี น่ารักมาตลอด จนถึงวันบอกเลิกกับแม่...
“ถ้าลานมาจีบเธออีกครั้งจะว่ายังไง” แป๋วตั้งคำถามใหม่
“จะให้ว่ายังไง” ฉันยิ้ม รู้สึกเหมือนได้ยินคำถามที่เป็นไปไม่ได้...ข่าวของลานกับดาราสาวในวงการมีมาเรื่อย ๆ ซึ่งฉันไม่เคยใส่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริง หรือแค่การขายข่าว
จุดที่เขายืนอยู่เวลานี้ คงไกลจากฉันมาก เหมือนโลกกับพระจันทร์
“ก็พูดมาสิ” แป๋วเร่งเอาคำตอบ
“ไม่รู้สิ ตอบไม่ถูก ไม่เคยคิดสักที” ฉันตอบอย่างไม่เสแสร้ง “คบกับแบบเพื่อนอย่างนี้ก็ดีออก สบายใจดี ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย”
“แหม...หล่อน ไม่อยากลองลิ้มชิมรสชาติดุเด็ดเผ็ดมันของความรักบ้างเหรอ” แป๋วหยอก
ฉันไม่ตอบ มองเห็นมาตลอดว่าความรักของเพื่อนคนนี้มีครบทุกรสชาติจริง ๆ ประคองคู่กันมาแบบตก ๆ หล่น ๆ มีลูกตอนเรียน ยันมีงานการทำเป็นหลักแหล่ง พ่อแม่วางใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องทะเลาะ ร้าวฉาน เลิกรา สลับกับคืนดีมาเข้าหูให้เพื่อนสนิทได้ฟังไม่ขาด
-----000-----
ค่ำคืนแห่งการสังสรรค์เคลื่อนผ่านแล้ว แต่ละคนเริ่มทยอยกลับ บางกลุ่มนัดกันไปเที่ยวต่อ เอกพยายามชวนลานไปเที่ยวด้วย แต่เจ้าตัวปฏิเสธ อ้างว่าเดี๋ยวเป็นข่าว มีผลลบต่องาน
“เอ็งนี่จริง ๆ เล้ย ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวหรือไงวะ”
“ก็มี...แต่ต้องในที่ลับหูลับตาคนหน่อย อย่างที่ปิดห้องจัดมิตติ้งเผากูนี่ไง...” ลานตอบแกมหยอก
“เออ...แล้วเอ็งมีเบอร์ส่วนตัวมั้ยวะ เบอร์ที่ให้มานี่ โทร.ทีไร เจอแต่ผู้จัดการรับสายทุกที” เอกถาม
“ก็เบอร์นั่นแหละ ของกูเอง แต่ส่วนใหญ่ทำงาน ไม่ค่อยมีเวลารับสายหรอก พี่เขาเลยช่วยรับแทนให้”
“เบื่อจริง ๆ พวกคนดังนี่” เอกบ่นพลางเดินนำหน้าเพื่อนกลุ่มสุดท้ายออกจากร้าน
ฉันอยู่ในกลุ่มสุดท้ายเหมือนกัน เดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ เกือบสิบคน
“นุ่นจะกลับบ้านยังไง” เสียงนุ่ม ๆ ของลานดังใกล้ตัวฉัน
“อ๋อ...ขับรถมาเองน่ะ” ฉันเงยหน้าตอบเขา
“ไงจ๊ะ ถ้านุ่นไม่มีรถ จะอาสาไปส่งเองหรือเปล่า” แป๋วแซวทันที
“ได้สิ...ตั้งใจอยู่แล้ว แป๋วก็เหมือนกันนะ ถ้าไม่มีรถ ผมไปส่งก็ได้” ลานพูดจากใจจริง
“แหม เสียดายจริง ๆ ฝาละมีดันมารอรับซะแล้ว เดี๋ยวขอไปไล่มันกลับบ้านก่อนได้มั้ยนี่” แป๋วพูดอย่างเห็นขัน
ลานหัวเราะเบา ๆ ก้มหน้ามองฉัน
“เสียดายจัง วันนี้ไม่ค่อยได้คุยกับนุ่นเลย”
“โธ่...ก็ลานเป็นคนดังนี่ พวกเพื่อนเขาก็อยากคุยด้วยทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เราก็กำลังคุยกันอยู่ไม่ใช่หรือจ๊ะ”
เขายิ้มใส รอยยิ้มสว่างจุดให้ดวงตาเป็นประกาย ฉายแววบางอย่างแทนคำพูดจา ระหว่างทางจากในร้านถึงที่จอดรถ เสมือนเส้นทางอันอบอุ่น อบอวลด้วยกลิ่นอายความสุข
รถยนต์ขับออกไปทีละคัน รถของฉันอยู่ด้านในจึงต้องรอ ที่ข้างหน้ามีรถจอดขวางอีกคัน ฉันหันไปมองเพื่อนที่ยังไม่ขึ้นรถ พบว่าเหลือลานเพียงคนเดียว
“ขอโทษที ผมจอดรถขวางนุ่นเอง” เขาพูดพลางรีบเปิดประตูรถ แต่ก็ชะงัก ลังเลชั่วครู่ก่อนเดินเข้ามาหา
“มีอะไรเหรอลาน” ฉันถาม
“เอ่อ...” ท่าทางเขากลับไปเป็นเหมือนเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อน “ผมมีโทรศัพท์ส่วนตัวจริง ๆ อยู่เบอร์นึง รับรองไม่ผ่านผู้จัดการแน่ ๆ”
พูดแล้วยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่กำมือฉัน
“ถ้านุ่นวางก็โทร.มาคุยได้ตลอดเวลาเลยนะ” คำพูดหนักแน่น พร้อมรอยยิ้มที่ไม่ผิดแผกจากเด็กหนุ่มหัวเกรียนคนเดิม
“จ้ะ” ฉันตอบรับจากใจจริง
-----000-----
ขณะนั่งอยู่ในรถ มองรถของลานแล่นห่างออกไป ฉันรู้สึกคล้ายเห็นรอยยิ้มของเขาประทับความทรงจำ และ “เห็น” ความรู้สึกยินดี พอใจเกิดขึ้นในจิตใจตน
จะแปลกไหม...หากเรารู้สึก “รัก” ใครสักคนโดยไม่หวังคิดครอง ไม่เคยมองเขาเป็น “ของเรา” พอใจเพียงได้มองเห็นความสุขฉายในแววตาเขา ร่วมชื่นชมอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นเขาก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ ร่วมสุขกับเขาโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ คอยส่งกำลังใจยามเขาทุกข์ ไม่สบายใจ
ความรักเช่นนี้มันคงไม่อาจอยู่ในกำมือของใครได้ มันเกิดขึ้น และเดินจากด้วยเหตุและปัจจัยของมันเอง
ความรักเช่นนี้ทั้งไม่อาจเรียกร้องให้อยู่ ทั้งไม่อาจผลักไสขับไล่ให้มันจากไปได้
ฉันเพียงแค่ดู...และรับรู้ว่ามันยังอยู่ก็พอใจแล้ว
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน วันหนึ่งข้างหน้าลานอาจมีผู้หญิงตัวจริงสักคนในชีวิต ซึ่งฉันเชื่อว่าตนเองสามารถร่วมยินดีกับเขาอย่างจริงใจ ไม่มีแม้รอยเสี้ยนทุกข์มาเสียดแทงใจ
-----000-----
พอกลับมาถึงบ้าน ฉันนึกถึงเบอร์โทรศัพท์ที่ลานยัดใส่มือมาให้ จึงหยิบออกมาเพื่อจะจดใส่สมุด แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นข้อความที่เขาเขียนต่อท้ายหมายเลขโทรศัพท์นั้น
มันเป็นข้อความที่เรียกรอยยิ้มให้ฉันได้อีกครั้ง
“ถ้ามีความสุขแล้วไม่รู้จะบอกใครก็โทร.มานะ...ถ้าไม่สบายใจ อยากหาคนรับฟังก็โทร.มาได้...หรือถ้าเบื่อนักไม่รู้จะคุยกับใครก็โทร.มาหาเถอะ...เบอร์นี้เปิดสายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง...จนกว่าคนโทร.จะเบื่อ แล้วคิดว่า...ไปเรียกให้เจ้าของโทรศัพท์มันมาหา แล้วสั่งให้นั่งคุยอยู่ใกล้ ๆ จะดีกว่ากันเยอะเลย”
ฉันยิ้มเต็มหน้า สัมผัสความอบอุ่นอ่อนโยนจากกระดาษแผ่นนั้นเข้าสู่กลางฝ่ามือ และมันค่อยซึมแทรกเข้าสู่หัวใจอย่างเชื่องช้า...อิ่มเต็ม
"ความรักนอกกำมือ" เคยลงในนิตยสารขวัญเรือน ปักษ์แรกสิงหาคม ๒๕๔๙
หัวข้อ: จดหมายจากในหลวงถึงพระเทพฯ 6/10/2547 จาก วิกิซอร์ซ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 09:26:16 AM
จดหมายจากในหลวงถึงพระเทพฯ 6/10/2547 จาก วิกิซอร์ซ
พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่
 
จดหมายจากในหลวงถึงพระเทพฯ

ลูกพ่อ
ในพื้นแผ่นดินนี้
ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด
มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว
ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว
ทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน
แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้
จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือ ความดีนั้น

ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่น
เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา
ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ
ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้

พ่อขอบอกลูกดังนี้...
1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน
ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง
อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
3. มีความสันโดษ คือ
-มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น
ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
-ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
-พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
-ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน
และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศ สุข ทุกข์ ปรากฏ สรรเสริญ
นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า 'ชั่งมัน'

พ่อ 6/10/2547

***ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้
จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น
และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
ฉันรัก พ่อฉันจัง
 
สิรินธร
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 09:28:17 AM
ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คน
นั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร
เธอพูดกับเขาว่า ' ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ '
' สามีของเธออยู่ในบ้านไหม ' เขาถาม
' ไม่' เธอตอบ 'เขาออกไปข้างนอก '
' ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก ' เขาตอบ

ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกับมาบ้าน เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
' ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด '
เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน
' เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก ' เขาตอบ
' ทำไมล่ะ ' เธอถาม
ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า ' เขาชื่อ ความมั่งคั่ง ' เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า
' เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก ' เขากล่าวต่อไปว่า
' บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ '
เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของเธอ สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก
' วิเศษจริงๆ ' เขากล่าว   
' เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง '
ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย ' ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ '

ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษา จากมุมหนึ่งของบ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า
' จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง! '
' เราฟังสิ่งที่ลูก สะใภ้แนะนำเถอะ ' สามีกล่าวกับภรรยา ' ออกไปข้างนอกและเชิญความรัก เข้ามาเป็นแขกของเราเถอะ'
ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า ' ใครคือความรัก โปรดเข้ามา และเป็นแขกของเราเถอะ '
ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน  ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป
ด้วยความประหลาดใจ ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า
' ฉันเชิญเพียงความรัก ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ '
ชายชราตอบพร้อมกันว่า ' ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำ เร็จ คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก
แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป เราจะไปกับเขา
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ '

คุณมีตัวเลือก 2 ข้อคือ
1. ปิดมันเสีย
2. เชิญความรัก โดยแบ่งปันเรื่องนี้กับทุกคนที่รัก ( อย่าเอาความมั่งคั่ง, สำเร็จในการงาน โดยไม่คำนึงถึงความรักต่อเพื่อนร่วมงาน, สังคม และครอบครัว)     
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 09:31:02 AM
因为你是我的好朋友 = เพราะเธอคือเพื่อนที่ดีของฉัน
 

 我對佛說... ฉันพูดกับพุทธองค์ว่า


我對佛說:讓我所有朋友永遠健康快樂~!
ฉันพูดกับพุทธองค์ว่า   :    ขอให้เพื่อนของฉันทุกคนมีความสุข สุขภาพดี ตลอดไป


佛說:只能四天~!
พุทธองค์ตอบว่า :  ขอได้เพียง 4 วันเท่านั้น

我說:好,春天、夏天、秋天、冬天。
ฉันตอบว่า : ได้  ถ้างั้นขอวันฤดูใบไม้ผลิ  วันฤดูร้อน  วันฤดูใบไม้ร่วง  วันฤดูหนาว

佛說:三天。
พุทธองค์ตอบว่า : 3 วัน

我說:好,昨天、今天、明天。
ฉันตอบว่า : ได้  เมื่อวาน  วันนี้  วันพรุ่งนี้

 
佛說:不行,兩天。!
พุทธองค์ตอบว่า  : ไม่ได้  ให้ได้แค่ 2 วัน

我說:好,白天、黑天。
ฉันตอบว่า : ได้  งั้นเป็นกลางวัน และ กลางคืน

佛說:不行,就一天~!
พุทธองค์ตอบว่า  : ไม่ได้มากไป  ให้ได้วันเดียว

我說:好~!
ฉันตอบว่า : อ๋อ ได้

佛茫然問到:哪一天?
พุทธองค์ถามว่า : วันไหนล่ะ

我說:在我所有朋友活著的每一天 ~! ?
ฉันตอบว่า : ขอเป็นวันที่เพื่อนๆของฉันยังมีชีวิตอยู่

佛笑了……說:以後你所有朋友將天天健康快樂~
พุทธองค์หัวเราะ แล้วพูดว่า : นับแต่นี้ไปเพื่อนๆของเธอจะมีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงทุกๆวัน

看到此信息的人轉發給朋友,祝你的朋友們都是快樂健康~
คนที่ได้เมล์ฉบับนี้แล้วส่งต่อให้เพื่อน, ขออวยพรให้เพื่อนๆ ของคุนทุกคนมีความสุข สุขภาพดี

天氣多變...加倍保重!(把溫暖傳下去 哦∼)
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย  ดูแลตัวเองด้วย (อย่าลืาส่งความอบอุ่นไปด้วยล่ะ)

p.s 佛說好朋友不可以都沒連絡!
ปล.  พุทธองค์พูดว่าเพื่อนที่ดีไม่ควรขาดการติดต่อ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 21, 2009, 09:39:19 AM
ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า   
 
         ' วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้นในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'   
 
         วัวย้อนกลับว่า ' ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปี น่ะหรือ ? ฮึ! เมินเสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ เอาคืนไปเลย 30 ปี ถ้าได้ก็โอเค'   
 
         และพระเจ้าตอบตกลง   
 
         วันต่อมาพระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของสุนัข หน้าที่ของเจ้าคือ   นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปี'   
 
         สุนัขได้ฟังก็พูดขึ้นว่า 'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี! ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้ ขอคืนชีวิต 10  ปี ก็แล้วกัน'

         พระเจ้าตอบตกลง   
 
         วันต่อมาพระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของลิง หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิงหลอกล่อคนให้หัวเราะ   แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปี'

         ลิงได้ฟังจึงตอบว่า ' อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิงและเล่ห์กลต่างๆ   ตั้ง 20 ปี น่ะเหรอ ? ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่ 10 ปี ก็แล้วกัน'   
 
         พระเจ้าตอบตกลง   
 
         วันต่อมาพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ กิน นอน เที่ยว   เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'

         มนุษย์ได้ฟังก็ต่อรองว่า  ' ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปี น่ะเหรอ เอาอย่างนี้ดีกว่าเราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี   และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม ?' 
 
         พระเจ้าตอบตกลง   
 
         นั่นเป็นเหตุผลว่า...

            ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรก จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่น และไม่ต้องทำอะไรมากมาย   
          30 ปีต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว   
          10 ปีต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา   
          10 ปีต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ เพื่อหลอกล่อหลาน!
 
         อ่านจบแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเป็นวัวกันต่อไปนะพี่น้อง อย่าอู้!!!!
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Super เซียน ที่ กรกฎาคม 22, 2009, 10:06:47 AM
เมื่อจุดเริ่มต้นของคนสองคนเริ่มจากความรัก แต่จุดหมายทางมันคนละอย่าง คุณรู้ไหมอีกคนจะเสียใจมากเท่าไหร่...รู้บ้างมั๊ยเธอ!


คนนึงอยากจะรู้ อีกคนไม่อยากให้ถาม
คนนึงคอยวิ่งไล่ตาม อีกคนก็เดินหนีไป
คนนึงคอยตรงนี้ อีกคนไปอยู่ที่ไหน
คนนึงบอกว่าเหงาใจ อีกคนว่าน่าระอา

คนนึงอยากไปหา อีกคนก็กลับห่างเหิน
คนนึงอยากนั่งใกล้ๆ อีกคนไม่ยอมสบตา
คนนึงโทรทุกครั้ง อีกคนไม่เคยโทรหา
คนนึงแบกรักเต็มบ่า อีกคนไม่แคร์อะไร

คนนึงหาเรื่องคุย อีกคนนึงหาเรื่องวาง
คนนึงทำแทบทุกอย่าง อีกคนไม่เคยสนใจ

คนนึงคิดถึงกัน อีกคนนึงคิดถึงใคร
..??..คนนึงรักมากมาย อีกคนทำไมน้อยลง

คนนึงบอกว่ารัก อีกคนไม่อยากจะรู้
คนนึงยังเหมือนเดิมอยู่ อีกคนทำไมเปลี่ยนไป
คนนึงห่วงเสมอ อีกคนนึงห่วงอยู่ไหม
คนนึงยังนั่งร้องไห้ อยากรู้หัวใจอีกคน


พอดีไปเจอในเวปมา ชอบเลยเอามาฝากให้อ่านคร้าบบบบ
หัวข้อ: โดนครับ โดนเต็มๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กรกฎาคม 24, 2009, 07:56:09 AM
พ่อทำงาน...อาบแดด...ถูกแผดเผา
ลูกดื่มเหล้า..ฟังเพลง...ครื้นเครงเหลือ


แม่ขายผัก...กินข้าว...เคล้ากับเกลือ
ลูกเอื้อเฟื้อ...พาสาวเที่ยว...เลี้ยวโฮเตล


พ่อหาเงิน...ส่งลูกเรียน...เพียรอุตส่าห์
ลูกติดยา...คบเพื่อนชั่ว...มั่วให้เห็น


แม่กระหาย...ดื่มน้ำคลอง...ตอนกลองเพล
ลูกทะเล้น...จิบวายแดง...แพงจับใจ


พ่ออดอยาก...ไม่เคยบ่น...ทนลำบาก
ลูกมักมาก...เพศสัมพันธ์...มันส์ :-X  


แม่ทอผ้า...ปลูกหม่อน...หารายได้
ลูกหญิงชาย...เที่ยวสนุก....โรคติดตัว


พ่อสูบน้ำ...เข้าแปลงนา...ปลูกข้าวกล้า
ลูกมัวเมา...การพนัน...หมั่นหาผัว


แม่หาบน้ำ...เลี้ยงเป็ดไก่...ทำสวนครัว
ลูกใจชั่ว...ใช้เงินเพลิน...เดินหลงทาง


พ่อขายวัว...ส่งควายเรียน...เวียนศรีษะ
ลูกตะกละ...กินฟาสฟู๊ต...พูดกว้างขวาง


แม่ปวดเมื่อย...สู้งานหนัก...ไม่ละวาง
ลูกสำอาง...ใช้ของแพง...แข่งสังคม


พ่อผอมแห้ง...เรื่ยวแรงน้อย...ด้อยอาหาร
ลูกประพฤติ...อันตพาล...ล่าเสพสม


แม่เป็นดอก...ทบต้น...หมดอารมณ์
ลูกเขี้ยวคม...ฆ่าพ่อแม่...ก่อนแก่ตาย
หัวข้อ: คุณรู้จักภาษาเหนือดีแค่ไหน มาทดสอบกันหน่อยเร้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ กรกฎาคม 24, 2009, 10:54:01 AM
คุณรู้จักภาษาเหนือดีแค่ไหน  มาทดสอบกันหน่อยเร้ว
 
1. ข้อใดต่อไปนี้ หมายถึงคำอุทานที่แสดงถึงความเจ็บปวด


 บ่าเฮ้ย
 

 อั่นละ
 

 ไอ่ฮ่า
 

 แอ่นและ
 

2. ของใดต่อไปนี้อ่านคำว่า "กองอำนวยการ" เป็นภาษาเหนือได้ถูกต้อง


 ก๋อง-อำ-นวย-ก๋าน
 

 กอง-อำ-นวย-ก้าน
 

 ก๋อง-อำ-น๋วย-ก๋าน
 

 กอง-อ๋ำ-นวย-ก๋าน
 

3. ข้อใดเป็นผลไม้ทั้งหมด


 บ่าก้วยเต้ด บ่าลำ บ่านาว
 

 บ่าก้วยเต้ด บ่าก้วยก๋า บ่าขะหนัด
 

 บ่าฮ่านิ บ่าก้วยเต้ด บ่าขะหลำ
 

 บ่าน้อยหน่า บ่าวอกนิ บ่าคำดีควาย
 

4. ข้อใดถือว่าเป็นคำชม


 ง๊าวง่าว
 

 หลวกง่าว
 

 วอกง่าว
 

 จั๊ดง่าว
 

5. คำในข้อได้แสดงถึงอาการล้มแบบก้นจ้ำเบ้า


 เลิดผะขี้ฮู้ตั่งป่อด
 

 ฮู้ขี้ตั่งผะป่อดเลิด
 

 ตั่งป่อดผะเลิดฮู้ขี้
 

 ผะเลิดฮู้ขี้ตั่งป่อด
 

6. แตงโมง คำเมืองพูดว่า


 ไม่เท่า
 

 บ่าเต้า
 

 บ่าเท่า
 

 ไม่เต้า
 

7. การกล่าวขอโทษในภาษาเมืองพูดว่า


 สุมาเต๊อะ
 

 ฮานิบ่าเฮ้ย
 

 หยังอั้นน่ะ
 

 ป้อคิงหยัง
 
 
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Lion King ที่ กรกฎาคม 25, 2009, 09:53:39 AM
 ฮาว่า บ่าขะหลำ ก็ อาจจะเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งก็ได้นะครับ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Montri babu ที่ กรกฎาคม 25, 2009, 11:56:59 AM
ฮาว่า บ่าขะหลำ ก็ อาจจะเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งก็ได้นะครับ
อย่างอี้ต้องคู่กับ บ่าก้วยแต.ด ก่ะ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Mor-Rim-Doi ที่ กรกฎาคม 25, 2009, 03:38:10 PM
โหะ...จะอี้ก่ต้องปิดท้ายด้วย บ่าเด้า ก่ะ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ กรกฎาคม 25, 2009, 10:00:59 PM
ฮาว่า บ่าขะหลำ ก็ อาจจะเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งก็ได้นะครับ
อย่างอี้ต้องคู่กับ บ่าก้วยแต.ด ก่ะ
แสดงว่ามึงกินบ่อยละซิ.................บ่าก้วยแต.ด.............เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :laugh1:
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Montri babu ที่ กรกฎาคม 27, 2009, 02:52:49 PM
ฮาว่า บ่าขะหลำ ก็ อาจจะเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งก็ได้นะครับ
อย่างอี้ต้องคู่กับ บ่าก้วยแต.ด ก่ะ
แสดงว่ามึงกินบ่อยละซิ.................บ่าก้วยแต.ด.............เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :laugh1:
อ้าว..บ่ใจ้ของมักของอ้ายแม็คกาครับ  :smile1:
หัวข้อ: เรื่องของวงการนางฟ้า
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ สิงหาคม 09, 2009, 08:27:56 PM
ฮาอีกแล้วตามคำเรียกร้อง (หรือเปล่า...) ครั้งนี้นำข้อมูลมาจากไหนห้ามถามเพราะใกล้ตัวมากกก แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาเอาเรื่องในบ้านมาขายน่ะ ...อิอิ

เรื่องของ "วงการนางฟ้า" ที่คุณอาจยังไม่รู้

-  สายการบินที่ลูกเรือไทยอยากทำงานมากที่สุดคือ การบินไทย ต่อให้ไปอยู่ไหนมา พอทีจีเปิด กูก็แห่กันมาค่ะ

-  แอร์สายการบินอื่นไม่รู้ แต่แอร์ TG นั่งรถบัสสวยๆไปส่งถึงเครื่องค่ะ ( คนอื่นเค้าเดินไป...สม)

-  Board ผู้โดยสารที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดคือผู้โดยสารจีนและ Route อะไรก็ตามที่ไปลงจีน รองลงมาเป็น Route แขก

-  ไปลงกาฎมันฑุทีไร กูภาวนาให้ถึงที่หมายไวๆทุกที เสียวตูดดดดดดดดดด (รันเวย์เป็นหน้าผาค่ะ แบบในหนังผจญภัยเลยค่ะ)   

-  ไฟล์ทภายในประเทศช่วยนั่งเฉยๆได้ไหมคะ เพราะเครื่องขึ้นเสร็จมันก็ลงเลย เสริฟได้แค่นั้น  อย่าขอ  อย่าเติมได้ไหม  หนูเซิ้งไม่ทัน !!!!

-  ยกของเก็บให้ผู้โดยสาร ไม่ใช่หน้าที่ดิฉันนะคะ อย่าเรียกใช้ แต่ที่ทำให้เพราะเห็นใจเรื่องมนุษยธรรมค่ะ !!!!

-  เรื่องแอร์เป็นชู้กับกัปตัน  อิอิ  มีจริงค่ะ

- การบินไทยเคยเสริฟกล้วยทอดให้กับเจ้าหญิงราชวงศ์นึงน่ะ 

- สายการบินต่างประเทศที่บรรดา thai crew wanna be อยากเข้าไปทำงานที่สุดคือ Emirates   

- รองจากข้างบนคือ กะทะแอร์เวย์ หรือกาต้านั่นเอง

- รองลงจากกาต้าอันนี้เดาว่าเอธิหัดค่ะ

- สายการบินต่างชาติที่ลูกเรือไทยเข้าไปยึดสมรภูมิได้แก่ เอมิเรต กาต้า เจทสตาร์  ถ้าได้อีที่ว่ามานี่รับรองว่าปากไม่เหงาแน่ มีคนเม้าท์ด้วยจริงๆ

- เวลาลูกเรือทีจีทำดีไม่ค่อยมีคนชม แต่เจอลูกเรือ :-X ๆเข้าไป รับรองว่าเธอได้ถูกกล่าวในพันทิพแน่ๆค่ะ

- ดิฉันไม่เคยเอาส้นตีนชงกาแฟค่ะ

- ผู้โดยสารน่ารักก็เคยเจอ แบบว่าไฟล์ทยาวๆ เห็นเราเหนื่อยก็พูดให้กำลังใจ

- Stand by แปลว่าไม่ต้องไปบิน แต่ให้เตรียมพร้อมที่จะบินทุกเวลา (หวังไปเถอะค่ะว่าจะได้อยู่บ้าน แค่ก้าวออกไปซื้อส้มตำหน้าบ้าน :-X ก็โทรมาเรียกแล้ว)

-  เวลาผู้โดยสารน้อยๆ เราไม่ต้องไปบินนะคะ ส่งให้ไช่น่าแอร์โลดดดดดดดดดด ( รูทเซี่ยงไฮ้ไง)

-  สายการบินตะวันออกกลางเงินเดือนเยอะที่สุดในบรรดาวงการสงครามนางฟ้า   ไปบินสายการบินแขก ขยันๆ หน่อยเอาไปเลยค่ะ เดือนละแสนสี่

-  แอร์บางคนก็ไม่ซักชุดนะคะ เน่ามาก

-  แอร์ทีจี ต้องรวบตึง แต่แอร์เอเชีย ทำอะไรไปก็ได้  กูเลยได้เห็นแอร์เอเชียเดินหัวฟูรอบๆ เคบิ้น

-  เป็นแอร์ของแอร์เอเชีย ได้เงินเยอะกว่านกแอร์ค่ะ คอนเฟิม!!!!

- ผู้โดยสารที่ยุ่งๆ และร้ายๆ ลูกเรือทีจีเรียกว่า ยุงลายค่ะ

-  ผู้โดยสารที่บ้าๆ บอๆ เราจะเรียกว่า บาบาร่า

-  คำว่าด่าในการบินไทยจะเรียกว่า ดาเรศ

-  อะไรที่เน่าๆไม่ดีของเสีย เราจะเรียกว่า เนาวรัตน์ค่ะ

-  คนแก่ๆเราจะเรียกว่า แก๊สค่ะ

-  ส่วนใครที่สาวๆ เราจะเรียกว่า เยาวเรศค่ะ

-  ลูลู่ แปลว่า รู้แล้ว

-  คำว่าเม้าท์เราจะเรียกว่าทอดข้าวเม่าค่ะ

-  หากปวดขี้ขึ้นมาเราก็จะบอกเพื่อนว่าขอตัวไปคิมเบอรี่ค่ะ เพราะว่าทิชชู่ในห้องน้ำการบินไทยใช้ยี่ห้อง Kimberly Clark

-  หากผู้โดยสารขี้แล้วไม่ยอมกดค้างอยู่อย่างนั้นแล้วเราเข้าไปใช้ต่อ เราจะบอกว่า เราเจอเหมืองทองค่ะ

-  By hand เวลาพูดกันบนเครื่องจะแปลว่าการเสริฟอาหารโดยไม่เอารถ cart ออกไปแต่ใช่มือหยิบจากในครัวแล้วเอาไปให้ค่ะ  แต่คำว่า By hand หลังที่ลงจาก เครื่องแล้วแปลว่าช่วยกันชักว่าวเวลาเอากันค่ะ

-  อีแอร์ชอบประกาศ บนเครื่องผิดบ่อยๆบนเครื่องค่ะ จาก "ตัวท่านจะโดนปรับและผลไม้จะถูกยึด และถูกทำลายด้วยสารเคมี"  เป็น "ผล
ไม้จะโดนปรับ และตัวท่านจะถูกยึดและทำลายด้วยสารเคมี"

-  อีแอร์ชอบประกาศ บนเครื่องผิดอีกแล้วค่ะ จาก  "กรุณาเก็บกระเป๋าและสัมภาระของท่านให้เข้าที่"  กลายเป็น "กรุณเก็บปาเก๋าและสัมภาระของท่านให้เข้าที่"

-  นักบินการบินไทยห้ามเป็นตุ๊ดค่ะ

-  มีสจ๊วตบางคนแต่งหน้าเข้มกว่าแอร์ค่ะ

-  มีแอร์บางคนพกดิลโด้ไปบินด้วยเพราะเหงาจิมมี่เวลาอยู่เมืองนอกนานๆ

-  สจ๊วตชายแท้ส่วนใหญ่มีถุงยางอนามัยติดอยู่ในกระเป๋าลากแทบทุกคน

-  เวลาบินไปนอนตาม ตจว ชะนี Local หรือที่เรียกว่า ชะนี ตจว ชอบให้พวกสจ๊วตชายแท้เย๊สฟรี่ค่ะ เพราะ พวกหล่อนจะนึกว่าสจ๊วตเป็นนักบิน ให้นักบิน เย็ส ถือว่าเป็นบุญจิ๋มค่ะ

-  พีบี แอร์ สายการบินเล็กๆที่ยอมให้สจ๊วตแปลงร่างเป็นแอร์สาวเต็มตัวได้ เป็นความภูมิใจของกะเทยไทยค่ะ

-  สายการบินที่กะเทยไทยอยากเข้าไปทำม๊ากกกกกกกกกกกกก อีกที่คือ ควันตาส 

-  Turn Around แปลว่า บินไปแล้วกลับเลยไม่ค้าง  แต่สำหรับพวกอิชั้นเรียกอีกย่างว่า เซิ้งนรกแตก ค่ะ

-  เซิ้ง คือ Verb ของการเสริฟอาหารบนเครื่องค่ะ  เราแบ่งงานกันทำ ถ้าได้เซิ้ง ดิฉันก็จะเซิ้งแค่ฝั่งซ้าย หรือขวา แต่บางทีเจอแอร์ไฮเปอร์ ขอช่วยเซิ้งค่ะ

-  เซิ้งกันสนั่นแบบ Remix ถ้าได้บิน BKK - CNX - BKK - HKT - BKK (กรุงเทพ-เชียงใหม่-กรุงเทพ-ภูเก็ต-กรุงเทพ)  เอากูให้ตายยยยยยยยยซิค่ะ

-  มาบินกับเราวันสงกรานต์นะคะ ดิฉันจะแจกของที่ระลึกให้

-  ตุ๊บ แปลว่า 1 เที่ยวบิน

-  เวลากูสั่งให้รัดเข็มขัดก็เชื่อกูบ้าง  ผู้โดยสารบางคนให้รัดเข็มขัด แต่ไม่อยากรัด เลยเอาหมอนอิงมาปิดไว้ แล้วเอาหนังสือพิมพ์โป๊ะอีกที ไม่รู้กลัวอะไร นักหนา  พอเจอเทอบูแล๊นแล้วเด้งลอยตัวขึ้นมา กูผิดอีกค่ะ โดนสอบอีก อีจั๊ดง่าวววววววว

-  Cart คือรถเข็นที่ไว้ใส่ถาดอาหารเครื่องดื่ม หนักมากค่ะ ใครว่าเบาๆ กูต้องให้เพื่อนชะนีมาช่วยดึงตลอด  เห็นหนักๆแบบนั้น เวลาเจอเทอบูฯ มันลอยได้ดุจมีเวทย์มนต์ เชื่อมั้ยคะเพื่อนๆ

-  ผู้โดยสาร เพี้ยนๆ = ปลาตะเพียน

- ผู้โดยสาร เพื้ยนมาก = ปลาตะเพียนทอง

- ผู้โดยสาร เพี้ยนมากๆ = ปลาตะเพียนพลาตินัม

- ผู้โดยสาร เพี้ยนมากมายไม่บุบสลาย = ปลาตะเพียนพลาตินัมฝังเพชร

-  มีกัปตัน กิ๊กกะ กัปตัน ไหม ....หุหุ... ขี้เกียจนับ

-  คุณสมบัติเบื้องต้นของลูกเรือแอร์เอเชียคือ ต้องมีวิญญาณแม่ค้าแฝงอยู่ แม่เชียร์ขายของกันเก่ง :-X  ขนาดบอกว่าท้องอืด ไม่กินอะไรทั้งสิ้น แม่ยังเชียร์น้ำเปล่า ให้เลย

- คนที่สาธิต VDO Demo ที่เป็นหนุ่มหล่อมีแฟนแล้วเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังมีแอบกินและกิ๊กกับรุ่นเด็กอยู่บ่อยๆ 

- หนุ่มหล่อที่เล่น Safety Demostration VDO เป็นลูกเรือรุ่น 2002 ค่ะ ส่วนอีชะนีที่เล่นยืนเคียงข้าง เธอเป็นชะนีที่สอบได้ที่ 1 ของรุ่น 2003 ค่ะ  ตัวจริงเธอสวยมากค่ะ

- เครื่องบิน A 300-600 หลายๆลำอายุเกิน 20 ค่ะ

- ผู้โดยสารแขกเรื่องมากที่สุดค่ะ ขอแดกเพิ่ม ทุกอย่างขอสองตลอด ส่วนแขกตะวันออกกลางชอบหนุ่มตี๋ๆ ขาวๆ ใสๆ สลิมๆ ค่ะ พวกลูกเรือไทยเวลาไป ตะวันออกกลาง (ที่ไม่ใช่ดูไบ) เวลาเดินอยู่ข้างถนน จะมีหนุ่มๆแขกบีบแตรเรียกเป็นระยะๆ

- มีแอร์สาวสวยการบินไทยโดนพวกแขกชาวบ้านที่โอมาน รุมกระทืบในตลาดค่ะ เพราะว่าเธอไปผลักเด็กล้มเนื่องจากว่าพวกนี้มันไม่เคยเห็นคนหมวยๆ มันก็เข้ามาแต๊ะอั๋ง อีเด็กมาจับตูด เธอเลยโกรธผลักเด็กล้ม พวกชาวบ้านเห็นเลยมาลงประชาทัณฑ์อีแอร์ค่ะ

-  แอร์ไทยเวลาถอดชุดยูนิฟอร์มออกแล้วใส่ชุดนอกจะสวยมากค่ะ  สจ๊วตไทยหลายๆคนเวลาถอดยูนิฟอร์มออกหมดแล้วก็สาวม๊ากค่ะ  อีแอร์ทอมบางคนเวลาถอดชุดไทยออกลงมาอยู่ข้างล่างก็แต่งตัวเป็นผู้ชายแมนม๊ากค่ะ

- แชมเปญผสมกับชามะขาม (มีเฉพาะการบินไทย) ผสมออกมาอย่างละครึ่ง ออกมาแล้วรสชาติอร่อยม๊ากค่ะ แชมเปญบนเครื่องทีจีตอนนี้ประมูลมาได้ตกขวดละ  สี่พันบาทค่ะ อย่าแดกกันมากนะคะ บริษัทยิ่งขาดๆทุนอยู่  เคย มีผู้โดยบางคนแดกแชมเปญคนเดียว??สามขวด คุ้มค่าตั๋วเลยค่ะ

- แปรงสีฟัน บนเครื่องมีค่ะให้ไปขอกับแอร์ในครัว สมัยก่อนเคยวางแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำ โดนขโมยเรียบ เลยต้องให้มาขอกันเองค่ะ โกเต๊กก็มีอยู่ในห้องน้ำตามลิ้นชักเผื่อใครอยากเอาออกมาซับหน้า

-  เวลาใช้ห้องน้ำแล้วกรุณากด Flush ด้วยนะคะ

- กัปตันบางคนบังคับให้ลูกเรือหรือ IM (Inflight Manager) ที่แก่กว่าไหว้ตัวเอง เพราะว่าเขาเป็นกัปตันทุกคนต้องไหว้

- น้องๆสจ๊วต รุ่นปี 2007 หน้าตาน่ารักน่าแดกเป็นจำนวนมากค่ะ ส่วนอีแอร์ปี 2003 สวยชนะเลิศ

- บนเครื่องมี ไมโล เสริฟ แต่กรุณาขอตอนที่พวกอิชั้นว่างแล้วนะคะ เพราะมันทำยาก กว่าจะหยิบแก้วหาซองไมโลน้ำเดือด นม ฯลฯ รู้ไหมว่าต้องเปิดกี่ตู้เพื่อ เอาของ บางคนมาจิกยิกๆๆๆ

- งานอาชีพลูกเรืองานหนักนะคะ ไม่ใช่สบายๆอย่างที่คิด เดี๋ยวนี้ค่าเงินก็ตก ไฟล์ทก็ไม่ค่อยมี แย่เลยค่ะ

เอาไปแค่นี้ก่อนล่ะกัน ก่อนที่ตัวข้าพเจ้ากับแหล่งข่าวจะถูกดักตบ!!!
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Yai P5/6 ที่ สิงหาคม 11, 2009, 04:47:10 PM
ต้องถามคุณกัปปิตัน...
อ่านแล้ว...
เฮ้อ...
.......
รู้งี้เป็นนักบินก็ดี
 -06
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ สิงหาคม 12, 2009, 08:13:28 PM
วิธีสังเกตูอาการเส้นเลือดในสมองแตก
มีเพื่อนคนหนึ่ง   หกล้ม   ในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้ไปหาหมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น   

อิงอิงยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนๆ ช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้ แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ   
หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน  6 โมงเย็น   

ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ   
บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็น อัมพฤกษ์หรืออัมพาต   
แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน  3 ชม. ก็จะมีโอกาสรอด   

วิธีวินิจฉัยอาการ   

ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง   
แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย  3 ข้อ ก็สามารถวินิจฉัยอาการได้   

โปรดจำเคล็ดลับ   STR ดังต่อไปนี้   

S:(smile) -> ให้ผู้ป่วยยิ้ม   
T:(talk) -> ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง   
R:(raise) -> ให้ผู้ป่วย(ยก)ชูแขนสองข้างขึ้น   

อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม   ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง   
ใช่แล้ว ส่อ! อาการอันตราย   

ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง   ให้รีบแจ้ง  1669 และเล่าอาการให้ผู้รับสายฟัง 
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ สิงหาคม 12, 2009, 08:15:16 PM
สุนัขกับเจ้านาย
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ สิงหาคม 31, 2009, 10:46:20 AM
 " ความเชื่อ " มีอยู่ในตัวคนเราทุกคน บ้างก็เชื่อว่าผีมีจริง วิญญาณมีจริง เชื่อเรื่องดวง
เรื่องเคล็ด และก็เชื่อเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แล้วแต่ตัวบุคคลว่าผูกพันหรือคุ้นเคยกับสิ่งไหนมามากกว่า
เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนี้เรามีเรื่องดีๆ มาฝากคนที่เชื่อเรื่อง " เคล็ดเสริมดวง " ใครอยาก
โชคดีพลาดไม่ได้เด็ดขาด... (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ)   


                               เตียงนอน
อย่าตั้งเตียงนอนโดยเอาหัวเตียงหันไปชนกับผนังห้องน้ำ เพราะจะทำให้เสื่อมโชคอับโชค
อย่าตั้งเตียงนอนโดยหันปลายเตียงเล็งตรงกับประตูทางเข้าพอดี เพราะจะทำให้ฝันร้ายและอับโชค


                             สุนัข แมวจรจัด
แบ่งอาหารและน้ำให้แก่สุนัข หรือแมวจรจัดที่หิวโหยบ้าง ในวันฝนตกก็อนุญาตให้สัตว์จรจัด
เข้ามาหลบฝนในชายคาบ้าน การทำบุญทำทานกับสัตว์นั้นให้อานิสงส์ผลบุญแก่ตัวเราได้อย่างมหาศาล


                               ห้องครัว
ดูแลปัดกวาดเช็ดถูและจัดข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ครัว
สกปรก เพราะครัวเป็นขุมพลังของบ้าน บ้านที่ปล่อยให้ครัวสกปรกจะอับโชค เงินทองหามาได้ก็ต้องจ่าย
ออกไป เจริญรุ่งเรืองช้านัก


                             ผ้าเช็ดหน้า
อย่าให้ของขวัญคนรัก หรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี ถือเป็นของ
ขวัญอับโชค มอบให้กันแล้วจะมีเรื่องต้องพลัดพรากจากกัน หรือมีเรื่องต้องเมินหมางห่างเหินกันไป


                               กระจก   
ขัดถูกระจกในบ้านให้สะอาดใสอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้กระจกขุ่นมัวเป็นประจำ ดวงชะตาของ
คนในบ้านจะหม่นหมองทำอะไรไม่ขึ้น


                               วันบริสุทธิ์
วันที่ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก คือวันโกน วันพระ วันเกิด และวันเข้าพรรษา
ตามธรรมเนียมโบราณนิยมปฏิบัติกันเช่นนี้ เพื่อให้เทวดาคุ้มครองรักษาตลอดไป


                             เหรียญนำโชค
เมื่อเจอเงินตกอยู่ตามทางเดิน แม้จะเป็นเพียงเหรียญบาทก็ให้เก็บเอาไว้ ให้ถือเสมือน
เป็นเหรียญนำโชค การเดินผ่านเลยไป เพราะเห็นว่าเป็นเพียงเหรียญบาท เหรียญสลึงนั้น ถือเป็นการ
ดูถูกเงินทอง ไม่เห็นคุณค่าของเงิน คนเฒ่าคนแก่เชื่อกันว่ามันจะทำให้คุณอับโชคทั้งวัน หรือในช่วง 3 -
7 วันนั้น


                             แหวนเสริมดวง
เลือกสวมแหวนที่ถูกโฉลกกับเดือนเกิด หรือวันเกิดเพื่อเสริมโชคดีให้ชีวิต
ถ้าอยากเสริมดวงการเงิน  - ควรสวมแหวนทอง แหวนเงิน แหวนหยกและแหวนหัว
พลอยสีที่ถูโฉลก
ถ้าอยากเสริมดวงความรัก - ให้สวมแหวนรูปหัวใจ รูปดาว เลือกแหวนเพชรหรือ
เทอร์ควอยส์ก็ได้
วนแหวนลูกปัดและหินสีต่างๆ - จะช่วยเสริมดวงเสน่ห์
การสวมแหวน
สวมแหวนนิ้วกลางขวา - เสริมดวงการเงินและบารมี   
สวมแหวนนิ้วนาง นิ้วก้อย - เสริมเสน่ห์ และเสริมดวงความรัก


                             ทำบุญโลงศพ
ไปที่มูลนิธิใกล้บ้าน ทำบุญบริจาคเงิน ร่วมกันซื้อโลงศพให้ศพอนาถาที่ไร้ญาติ การทำบุญโลง
ศพจะช่วยเสริมดวงชะตาให้กล้าแข็ง เหมาะสำหรับช่วงดวงอ่อน และมีทุกข์มีเคราะห์


                           พระพรหมศักดิ์สิทธิ์
หาโอกาสไปกราบไหว้พระพรหมสักครั้ง ถ้าอยู่ที่กรุงเทพ ก็ไปไหว้ที่หัวมุมสี่แยกราชประสงค์
โรงแรมเอราวัณก็ได้ หรือที่ศาลพระพรหมแห่งใดก็ได้ทั้งนั้น พระพรหมเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวขวัญกัน
มากว่า บนบานอธิษฐานขออะไรมักได้ดังปรารถนา ด้วยว่าท่านเป็นเทพแห่งความสำเร็จนั่นเอง


                               หิ้งพระ
หิ้งพระ หรือหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทพต่างๆ หรือ ร. 5, ในหลวงของ
เรา เมื่อตั้งหิ้งบูชาแล้วจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะ??าดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นเปลี่ยนดอกไม้ พวงมาลัย
ถวายน้ำสะอาด ถ้าปล่อยให้หิ้งสกปรก มีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมด บ้านนั้นจะมีแต่ความเสื่อมถอย โชคลาภหด
หาย ยากที่จะเจริญรุ่งเรือง


                             ไข่ และ ส้ม
ในบ้านเรือนควรมีไข่ และมีส้มไว้ในตะกร้าเสมออย่าให้ขาด เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุข
เข้าบ้าน ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุขตลอดไป ไข่และส้มเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความโชคดี
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ สิงหาคม 31, 2009, 10:47:58 AM
ลูกชายผมสองขวบมีไข่สูงมากให้กินพาราได้ไหม ขอคำตอบด่วนครับ'
answer***ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไข่ มาตอบด่วนค่ะ

' แฟนเป็นคนเสียว ดังมากครับ ผมอายคนอื่นเค้า ผมจะเตือนเธอยังไงดีครับ'
answer***แนะนำให้ว่าเวลาจะมี อะไรกันให้หาอะไรให้เธอกัดครับ เวลาเธอเสียวก็จะ
ไม่ค่อยมีเสียงเล็ดรอดออกมา

' กลุ้มใจจัง แฟนเราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยจะอม ใครง่าย ๆ'
answer***ดีแล้วล่ะคะ

' มีพี่ที่ทำงานคนนึงเพิ่งเข้ามาทำงาน เธอเป็นลูกน้องผมแต่อายุแก่กว่าผมมาก
ผมจะสอยเธอยังไงดี! ครับถึงจะไม่น่าเกลียด'
answer***ความจริงน่าจะสอยพวกเด็ก ๆ ใหม่ ๆ นะครับ ถ้าอยากสอยเธอจริง ๆ ก็ท่า
พื้นฐานไปก่อนครับ พอเคย ๆ กันแล้วค่อยเปลี่ยนท่าสอยครับ แค่นั้นก็ไม่น่าเกลียด
แล้วครับ

' สามีมีปัญหาในการนอนค่ะเค้าชอบนอนหนุนหมอย นิ่ม ๆ ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ พอจะ
รู้จักยี่ห้อดี ๆ มั้ยคะ'
answer***มียี่ห้อด้วยเหรอค่ะของแบบนี้

' ถ้าง่วงก็ลองเคี้ยวหมาฝรั่งดูสิคะเผื่อจะหาย'
answer***ไม่ไหวค่ะกลัวมันกัดเอา

' เดือนหน้าดิฉันจะมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย เค้าชอบช้างมากค่ะ
ช่วยแนะนำทัวร์ที่มีโปรแกรมขี้ช้างให้หน่อยได้มั้ยคะ'
answer***ไม่มีมั้งค่ะโปรแกรมนี้

' เจอรูแฟนเก่าในโทรศัพท์มือถือแฟน หมายความว่ายังงัย'
answer***ความสามารถในการแยกแยะสูงจริง ๆ เลยค่ะเห็นแค่รูรู้เลยว่ารู ใครเป็นรู
ใคร

' อยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง ที่ปิดไฟมืด ๆ
แล้วฉายภาพดาวน่ะค่ะไม่ทราบว่าเข้าชมฟรีรึต้องเสียตัวด้วยรึ ป่าวคะ'
answer***เอ่อ! ไม่อยากมาเที่ยวบ้านผมบ้างเหรอ? ? แต่ไม่ได้ชมฟรีนะครับบ้านผม

' ข่าวดีค่ะปลื้มใจอยากบอก ไปขยายรูแต่งงานมาแล้ว ออกมาสวยมาก ๆ
ขนาดแฟนเป็นคนไม่ค่อยพูด ยังออกปากชม ไม่รู้มาก่อนว่าดีแบบนี้ เพื่อน ๆ
ไปขยายที่ไหนกับบ้างคะ'
answer***เรื่องนี้เก็บไว้ 2 คนก็ได้ครับ ไม่ต้องเอามา post เขิน ๆ ไงไม่รู้
เอ่อ! ของแฟนใหญ่มากเหรอครับ ถึงต้องไปขยายรูแต่งงานของคุณมา

' พี่ ๆ ครับ ผมจะไปสอบใบขับขี่พรุ่งนี้แต่ ผมยังไม่ชำนาญ เรื่องการถอยรถเข้า
ซ่องเลย ใครพอแนะนำเทคนิคได้บ้างครับ'
answer***แนะนำให้ดื่มเบียร์ เข้าไปสักขวด แล้วไปแท๊กซี่ดีกว่าครับ สถานที่อย่าง
นั้นใครเห็นรถเราเข้าไปมันไม่ น่าดู เสร็จกิจแล้วก็นั่งแท๊กซี่กลับครับ

' ถามเลขาค่ะ พานายฝรั่งไปไหนดีไม่ชอบซิสเลอร์เลย วันก่อนไปกินกับนายฝรั่งหลาย
คน สั่งไส้กรอกรวมกินกันแล้วปรากฏว่าบรรยากาศเงียนมาก ๆ'
answer***บรรยากาศน่ากลัวนะคะ ! ฝรั่งเยอะด้วย

' ผมมีปัญหากับแฟนใหม่ของเธอครับ ไม่น่าคิดมากเลย แค่โทรเรียกเธอมาเจอเพราะอยากเลียร์ ให้มันสบายใจทั้งสองฝ่าย'
answer***ว่าแต่ว่าเขาจะยอมทั้งสองคนเลยเหรอ?

' ขอถามหน่อยค่ะ ใบพลูเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ที่ไหน คุณยายข้างบ้านกินแต่
หมา เปล่า ๆ มานานแล้ว บอกว่าเคี้ยวไม่อร่อย'
answer***กินหมาแทนพลู เลยเหรอค่ะ

' แถวสี่พระยามีร้านอัดรูดี ๆ มั้ยครับ อ้อ แล้วรูขนาด 4' x 6' นี่จะเล็กไปมั้ย
ครับ'
answer***รูขนาดนั้นไม่เล็กแล้วครับ อย่างนั้นเค้าเรียกบานครับ

' จะไปเชียงใหม่ค่ะหนุ่มคนเมืองที่ไหนพอแนะนำได้บ้างคะ อยากถามว่า
ขนมจีนน้ำเจี๊ยวที่ไหนอร่อยบ้ าง'
answer***ถ้าเจอที่ไหนอร่อย ๆ อย่าลืมกลับมาแน่ะนำด้วยนะคะ

'จิงๆหงษ์น่าจะไม่แพ้เป็นอย่างน้อยถ้า(ตั้งช้าหน่อยครับเพิ่งว่าว)'
answer***ทราบแล้วเปลี่ยนค่ะ ว่า เจ้าของกระทู้ยังโสด

'ผมตกขาวมากเลยครับ เกือบไม่ได้ไปดูงาน NIKON DAY 2006 '
answer***นึกว่าเป็นแต่ผู้หญิงผู้ชายก็ตกเหมือนกันเหรอค่ะ

'นศ หญิงสมัยนี้ทำไมชอบใส่เสื้อชายสั้นๆ แล้วปล่อยให้ :-X ออกมาอยู่ นอกกระโปรงกัน
นะ ไม่น่ารักเลย'
answer***ขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ

'ผมหา ลึงค์ กระทู้หมาฝรั่งไม่เจอแล้วสิ'
answer***คงอยู่ที่เดียวกันกะหมาไทยล่ะค่ะดิฉันว่า

'ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์วันเดียว ตกขาวเลยละเธอ'
answer***โหน่ากลัวเนาะ พรุ่งนี้ต้องรีบหาอ่านแล้วล่ะ

'ถามท่านผู้รู้หน่อยคับ : ทำไงดีคับ เครื่องเสียวผมใช้งานไม่ได้'
answer***ไม่มีความเห็นค่ะ รอผู้รู้มาตอบละกัน
หัวข้อ: คำเมืองมักมีสร้อย (คิดได้ไง) 555+‏
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 24, 2009, 05:22:01 PM
ยกความดีหื้อป้าฉัตร ที่ส่งมาหื้ออ่านกั๋นครับ

ต้องยกนิ้ว ฮื้อ คนกึ๊ด ละก่อชมว่า หลวก หยั่งว่อก  แปลว่า ฉลาดหลักแหลม

เกี่ยวกับสี
ดำคึลึ             =   คนอ้วนล่ำผิวดำ
ดำคุมมุม         =      ดำสลัวอยู่ในความมืด
ดำขิกติ้ก         =      ดำซุปเปอร์
ดำคิมมิม         =      คนผอมกระหร่องผิวดำ
ดำผึดำผึด        =      ดำมากๆทั่วๆไป
แดงเผ้อเหล้อ    =      แดงเป็นจุดใหญ่จุดเดียว
แดงปะหลึ้ง       =      แดงจัดมาก
แดงปะหลิ้ง       =      แดงอมชมพูแดงเป็นจุดเล็กๆ
เหลืองเอิ่มเสิ่ม   =      เหลืองอมส้ม
เขียวอุ้มฮุ่ม       =      เขียวแก่
มอยอ้อดฮ้อด    =      สีน้ำตาลหม่น
ขาวโจ๊ะโฟ้ะ      =      ขาวมากๆ
เปิดเจ้อะเห้อะ    =      สีขาวซีด
เส้าแก๊ก           =      สีหม่นหมองมาก
ลายขุ่ยหยุ่ย       =      ลายพร้อย หรือลายเป็นดอกดวง
ใสอ้อดหล้อด    =      สดใสแบบอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
ใส่ยงยง           =      สว่างจ้า

เกี่ยวกับแสง-เสียง
มืดแถ้ก          =      มืดสนิท
มืดสะลุ้ม         =      มืดสลัวๆ
มืดซุ้มซิ้ม        =      มืดนิดๆ
แจ้งฮุมหุฮุมหู่   =      สว่างลางๆเลือนๆ
แจ้งลึ้ง           =      สว่างโร่เห็นได้ชัด
ดั้กปิ้ง            =      เงียบกริบ
ดั้กปิ้งเย็นวอย  =      เงียบเชียบ
ดั้กแส้ป          =      ไม่ได้ข่าวคราว
ดั้กก๊กงก         =      นั่งนิ่ง

เกี่ยวกับกลิ่น-รส
เหม็นโอ่          =       เหม็นเน่า
จ๋างแจ้ดแผ้ด    =       จืดชืด
ขมแก๊ก           =       ขมมาก
ส้มโจ๊ะโล๊ะ       =       รสเปรี้ยวมาก

เกี่ยวกับรูปร่าง-ลักษณะ
แหลวแหละแหลวแลน    =   แหลกไม่มีชิ้นดี
แหลวแฝะแหลวแฟน     =   แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นนอย
เปิดโตโหล     =    เปิดโลง
แนนแทก       =    หนาแนน แข็งแรง
บางแตบแยบ   =   บางเบามาก
ซื่อแซด         =    ตรงเหมือนไมบรรทัด
แข็งเกิ้กเดิ้ก    =    ลักษณะแข็งทื่อ
แข็งกึ่งดึ่ง       =    แข็งทื่อเหมือนศพ
สูงใบสูงงาว     =    สูงมากจริงๆ
ต่ำแมดแกด     =    ลักษณะคนเตี้ยแกร็น
ต่ำป้อกหลอก   =    เตี้ยหมอตอ
สั้นกิ้มดิ้ม        =    สั้นจุดจู
ยาวโจะโละ     =    หนายาว
มนแกวด        =    กลมดิก
ป้อมป้อกหลอก  =   เตี้ยกลมเล็ก
ผอมแกงแดง   =   ผอมขี้กางผอมแห
หม้ดผี้หลี้        =    สวยสดใส
งอก๊อกหง้อก    =   เปรียบเทียบกับคนหน้างอ
งอก่องด่อง     =    นอนขดตัว
ตอกบ๊ะบ๊ะ       =    ตอกหลายๆที
ฮูโจ้โหว้        =     รูเบ้อเริ่ม
ฮูโจ้ดโหวด    =     รูใหญ่เห้นชัดเจน
ก๋วงโจ้โหว้     =     รูกลวงใหญ่ลอดง่าย
อ้าก้าบงาบ     =     อ้ากว้าง
งามผี้หลี้        =    คนที่เริ่มเป็นสาวและมีหน้าตาสวย
งามแต๊งามว่า  =    สวยจริงๆ
เก่าโคะโละ     =    เก่ามาก
เนียนแน้ก       =    รวดเร็ว
บานเผ้อเหล้อ   =   เบ่งบานเต็มที่
ก๊ดโก้งโหง้ง    =   ไม่ตรง
ก๊ดหง้อกก๊ดแหง้ก   = คดไปคดมา
ยานเติบเต๋ย =   ยืดยาด
ปุ๊สุ่นบุ่น   =   ผมฟูฟ่อง
เค่งติ้งติ้ง  =   การแน่น คัดเต้านม หรือ รัดตึง
สาวจิ๊ดริด  =  เริ่มโตเป็นสาว แม่สาวน้อย
ขำก๊ะงะ   =  ค้างคาอยู่
กว้างโล่งโก๊ะโล่งโก๋น   =   เปรียบเทียบความกว้างจนทะลุปรุโปร่ง
 
 
 
 ใค๊หัวเจ็บต๊องก่อปี้น้องหมู่เฮา
หัวข้อ: มหาวิทยาลัย...ผีสิง (เรื่องจริง)‏
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 26, 2009, 04:09:38 PM
ลิฟท์แดง ม. ธรรมศาสตร์
เรื่องลิฟท์แดงของธรรมศาสตร์นี้มีเรื่องเล่าว่าเมื่อตอนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ พวกทหารได้บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัย พวกนักศึกษาต่างหลบหนีเข้ามาในลิฟท์ตัวหนึ่ง พอลิฟท์ตัวนี้เปิดพวกทหารก็กระหน่ำยิงทุกคนเสียชีวิตหมด เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์ ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้บูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ลิฟท์ตัวนั้น แต่ทำความสะอาดยังไงคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ไม่ล้างไม่ออก จึงได้ทำการทาสีลิฟท์ให้เป็นสีแดง   มีเรื่องเล่าตามมาว่าหลังจากที่ลิฟท์ได้นำกลับมาใช้ตามปกติ มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งมาขึ้นลิฟท์ตามลำพัง แต่เมื่อมองไปที่กระจกกลับพบว่าไม่ได้มีเธออยู่เพียงลำพัง หากแต่มีผู้โดยสารอยู่ด้วยมากมาย นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่เหล่านักศึกษา อาจารย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้พบเจอกับอาถรรพ์ลิฟท์แดงตัวนี้เข้า ทำให้ทางมหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนตัวลิฟท์ใหม่ แต่ว่าประตูลิฟท์แดงที่ถูกถอดออกไปตอนนี้นี้ยังตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ตึกคณะศิลปศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้
หัวข้อ: ผีในรั้วมหาลัย
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 26, 2009, 04:10:49 PM
ศาลในห้องน้ำหญิง ม. เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง
เรื่องเล่าเกี่ยวกับศาลเจ้าที่ติดอยู่บนผนังห้องน้ำหญิงตึกวิศวะฯ จะมีดอกไม้ธูปเทียนและน้ำแดงอยู่ด้วยเสมอ คนเก่าๆ จะรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี เป็นเรื่องของนักศึกษาสาว         สถาปัตยฯ  อกหักจากหนุ่มวิศวะฯ จึงไปผูกคอตายที่ห้องน้ำดังกล่าว ปัจจุบันเป็นแหล่งลองของชั้นดีของผู้ที่ต้องการลองของ เพราะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ใครอยู่รุ่นแรกก็จะได้เห็นรูปของเธอผู้นี้ในศาลด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ศาลยังคงมีอยู่ ที่สำคัญห้องน้ำตรงนั้นยังเปิดใช้อยู่...


เรื่องนี้คงต้องให้จานโกยเข้ามาช่วยเคลียร์ด้วยครับ ว่า จริงหรือปล่าว
หัวข้อ: เรื่องผีในรั้วมหาลัย
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 26, 2009, 04:11:29 PM
พยาบาลชุดแดง ม. เชียงใหม่
เรื่องพยาบาลในชุดแดงของคณะแพทย์ฯ ม. เชียงใหม่ เล่ากันว่าเคยมีนักศึกษาชายคนหนึ่งของคณะแพทย์ฯ ทำงานในตึกของฝั่งสวนดอกจนดึก เมื่อเสร็จจากงานจึงลงลิฟต์มา ระหว่างที่รอเขาก็ได้ยินเสียงเดินมาข้างๆ หันไปมองเห็นก็พยาบาลคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะพยาบาลกับแพทย์ต้องเจอกันบ่อยอยู่แล้ว ระหว่างรอลิฟต์นักศึกษาคนนี้ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ เลยหันไปมองพยาบาลคนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไร ซ้ำพยาบาลคนนี้ยังยิ้มให้ด้วย สักพักต่อมาเมื่อเข้าไปในลิฟต์แ พยาบาลคนนี้ก็ถามว่ามาทำอะไรดึกๆ เขาเลยตอบว่ามาศึกษาเรื่องการผ่าตัดภายใน เพราะว่าจะสอบ พยาบาลคนนั้นเลยบอกว่า “ ให้ฉันช่วยนะ ” นักศึกษาคนนี้ก็เลยงงและเริ่มสังเกตว่าที่คอของพยาบาลสาวเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากคอเรื่อยๆ เขาตกใจมากและพยายามที่จะหนีออกมาจากลิฟต์ แต่ลิฟต์เหมือนค้าง หรืออะไรไม่ทราบได้ เลือดยังไหลนองไปทั่วชุดของนางพยาบาลคนนี้ แล้วเธอก็เริ่มสอนนักศึกษาแพทย์คนนี้ตั้งแต่ลำไส้ ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้งควักส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ออกมา รุ่งขึ้นมีคนพบนักศึกษาชายคนนี้นอนอยู่ที่ประตูลิฟต์ซึ่งเปิดคาอยู่ เอาแต่พร่ำเพ้ออย่างกับคนบ้าว่า “ พยาบาลชุดแดง พยาบาลชุดแดง ”
หัวข้อ: เรื่องผีในรั้วมหาลัย
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 26, 2009, 04:13:52 PM
ป๊อก...ป๊อก...ครืด   ม. เชียงใหม่

เรื่อง ผีอันดับหนึ่งของ มหาลัยเชียงใหม่ ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัด
แต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง
เรื่องเกิดกับนักศึกษาสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอหญิงเจ็ด ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกัน มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำ รูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่ จึงไปไม่ไหว พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองแล้วจะห่อมาฝาก เพื่อนคนที่ไม่สบายก็ฝากซื้อราดหน้า(หรืออะไรซักอย่าง) หลังจากที่เพื่อนออกไป เมทคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหวเพราะไข้ขึ้นจึงนอน ตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลือ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว ทำไมเพื่อนยังไม่กลับมาซะที ซักพักได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่างจากทางบันได ป๊อก … ป๊อก … ป๊อก … เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันไดเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนเป็น ครืด …. ครืด … เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง “ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อราดหน้าแขวนอยู่ พอเห็นห่อลาดหน้า ก็งง ว่าเพื่อนอยู่ไหน ทำไมต้องเอามาแขวน ทำไมมีแต่รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได รุ่งเช้ามีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืน ตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและขาทั้งสองข้างหัก อาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาดหลังจากทานข้าวเสร็จ ลักษณะเสียงที่ได้ยิน สันนิษฐานได้ว่าเพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุง แล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันได ลากตัวเองขึ้นมาเป็นเสียง   ป๊อก ป๊อก เสียง ครืด คือเสียงลากตัวเองจากบันไดมาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง … ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่า แต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่า ในคืนนั้นก็ได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นกัน


เรื่องนี้คุ้นๆ ว่าพวกเราเคยพูดถึงกันมาแล้วครั้งหนึ่งใช่ปล่าวหว่า  ????
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 26, 2009, 04:14:23 PM
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สถานที่เกิดเหตุ : ทางเดินระหว่างตึกของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
ทางเดินที่ว่านี้มีประวัติอยู่ว่า สมัยก่อนมีคู่สามีภรรยานักการฯ ของคณะสถาปัตย์ ทะเลาะกัน ฝ่ายภรรยาควักปืนยิงสามีจนเสียชีวิต และมีเลือดสาดไปทั่วทั้งทางเดิน ต่อมาทางคณะมีการปรับปรุงพื้นบริเวณนี้ แต่แปลกที่เฉพาะทางเดินนี้เท่านั้นที่ปูนไม่ยอมแห้งส ักที ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่างที่เห็นกันในทุกวันนี้ หรือที่ห้องซ้อมดนตรีไทย คณะครุศาสตร์ เวลาที่มีคนแอบเข้าไปนอนหลับในห้องซ้อมดนตรีไทย จะรู้สึกเหมือนมีใครมาดึงขา ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินไปเดินมา และได้กลิ่นธูป เมื่อถามรุ่นพี่ๆ ว่าเป็นอะไร คำตอบคือ เป็นฝีมือของเจ้าที่ที่ไม่ชอบให้ใครเข้ามานอนในห้องที่ใช้ซ้อมดนตรี ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ กับนักศึกษาปี 1
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ กันยายน 26, 2009, 04:15:06 PM
มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ . นครปฐม
สถานที่เกิดเหตุ : หอเพชรรัตน์
หอเก่าแก่ในมหาวิทยาลัย ที่เล่าขานกันมาว่าครั้งหนึ่งมีนักศึกษานอนอยู่ในห้องพักคนเดียวได้ยินเสียงคนเดินมาช้าๆ จนเสียงนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ ห้องพัก นักศึกษาคนนั้นจึงมองลอดช่องตาข่ายมุ้งลวดออกไปดู ปรากฏว่าเห็นคนนุ่งโจงกระเบนสีแดงลากโซ่ตรวนเดินผ่านไป

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
สถานที่เกิดเหตุ : ชั้น 15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์
เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมีนักศึกษาหญิงถูกข่มขืนและถูกฆ่าตายที่ชั ้น 15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปชั้นนั้นคนเดียวในช่วงเย็น เพราะวันดีคืนดีอาจได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ หรือบางครั้งเข้าห้องน้ำแล้วมองออกไปที่กระจกก็จะเห็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าอยู่ แต่พอเปิดประตูออกไปก็ไม่พบใคร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สถานที่เกิดเหตุ : บริเวณป่ารกข้างหอ 9 หลัง
เป็นจุดที่ไม่มีใครผ่าน มีเรื่องเล่าว่า เคยมีผู้หญิงถูกข่มขืนจนตายบริเวณนี้มาก่อน ทำให้บางคืนหากมีใครขับรถผ่านมา จู่ๆ รถก็จะกระตุกแล้วก็หยุดไปเลย เหมือนมีใครดึงรถอยู่ข้างหลัง เมื่อหันไปดูจะเห็นผู้หญิงหน้าขาวๆ ซีดๆ ดึงรถไว้

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
สถานที่เกิดเหตุ : โต๊ะตรงคณะอุตสาหกรรม
ในบริเวณนั้นมักมีคนได้กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณหอมแบบ เย็นๆ นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงกระพรวนที่เท้าเด็กดัง   เหมือนเล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ หันไปหันมาจะเจอเด็กผมจุกนั่งอยู่บนต้นไม้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะเขาแค่อยากชวนเล่นด้วย หรือที่ตึกคณะนิเทศศาสตร์ ดึกๆ จะมีคนเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวเดินไปเดินมา อาจเพราะบริเวณนี้ของมหาวิทยาลัยเป็นรั้ววังตั้งแต่ส มัยรัชกาลที่ 5 ครั้งที่ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆ ว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์ ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม้ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน >> น่าจะเป็นบางเขนมากกว่านะ
สถานที่เกิดเหตุ : หอพักนักศึกษา >> น่าจะเป็นตึกพักหญิงบุษกร
มีหอหนึ่งเคยเป็นโรงพยาบาลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วันดีคืนดีจะได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ตรวน และห้องน้ำหญิงรวมบางคืนจะมีเสียงคนอาบน้ำ แต่พอเดินไปดูไม่มีคนเลยสักคน และที่หอใน ชั้น 2 เคยมีนักศึกษาเสียชีวิตเนื่องจากเป็นไข้ทับฤดูตอนปิดซัมเมอร์ พอเปิดเทอมถึงมีคนเพิ่งจะพบศพ แต่หลังจากนั้นก็มีคนเห็นว่านักศึกษาคนนี้ยังมานั่งซักผ้าที่ห้องน้ำหน้าห้องอยู่เลย
 
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท
สถานที่เกิดเหตุ : ลิฟต์ที่อาคาร 9
ใครที่ขึ้นลิฟต์นี้ตอนดึกๆ จะมีคนกดเรียกลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้นบนสุด พอเปิดมาไม่เจอใคร แต่จะรู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามา ตอนนั้นให้รู้ไว้เลยว่าเป็นคนงานที่ตกลิฟต์ลงมาตาย แต่เค้าจะขอลงด้วย หรือที่วิทยาเขตรังสิต ก็มีตำนานแกรนด์คอนโด เป็นที่ขึ้นชื่อมากในเรื่องผี ถ้าอยากเจอ กลางคืนให้หาเรื่องอยากกินนั่น นู่น นี่ แล้วเดินลงบันไดดู

มหาวิทยาลัยนเรศวร
สถานที่เกิดเหตุ : คณะวิทยาศาสตร์
คำบอกเล่าจาก อ . คณะวิทย์ ว่าหลังจากที่มียามถูกแทงตายเพราะทะเลาะกัน ก็มีการจับภาพวิญญาณไว้ได้ในกล้องวงจรปิดของคณะ โดยที่ยามคนนี้ยังแวะไปเยี่ยมเยียนนิสิตบางส่วนที่ชอบอยู่ดึกๆ ในตึกอีกด้วย อีกเรื่องเล่ารุ่นต่อรุ่นว่า ในวันบวงสรวงรับน้องใหม่ในปีหนึ่งมีน้องที่คณะพยาบาล เป็นลมเพราะเห็นกองทัพพระนเรศวรเดินทัพลอยมาจากบนฟ้า

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
สถานที่เกิดเหตุ : ศาลาเขียว
คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มีศาลาประจำเอกคือ ศาลาเขียว ศาลานี้มีตำนานเล่าขานถึงที่มาของแผ่นป้ายที่ติดอยู่ ในศาลานั้นว่าทำมาจากต้นตะเคียน วันดีคืนดีจะมีผู้หญิงผมยาวๆ มานั่งอยู่เดียวดายในศาลา

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
สถานที่เกิดเหตุ : ลานจอดรถยนต์เก่า และป่าละเมาะ
ลานจอดรถยนต์ข้างศูนย์บรรณาสาร ( หอสมุด ) นี้ว่ากันว่าเป็นแดนประหารเก่า และว่ากันมาว่ามีพนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกคนหนึ่งเคยเห็นผีคอขาด เดินลากโซ่เสียงดังเกรียวกราวไปมา และถ้าดึกๆ ใครขับรถผ่านก็จะขนลุกโดยไม่มีสาเหตุ

มหาวิทยาลัยรังสิต
สถานที่เกิดเหตุ : หอชายเก่า
ที่หอชายเก่าในช่วงที่ใกล้จะสร้างหอเสร็จ มีการติดตั้งลิฟต์ และคืนนั้นมีคนงานกินเหล้ากันตามปกติ จนกระทั่งตี 1 มีคนงานคนหนึ่งตกลงไปที่ชั้นล่างใต้ลิฟต์แล้วปีนขึ้น มาไม่ได้ เพราะความเมา และคนงานคนนั้นก็เลยถูกลิฟต์ทับ ในเวลาต่อมาหลังจากที่หอเปิดได้ไม่นานก็มีนักศึกษาเข้าอยู่เต็ม และหอนี้ไม่เคยปิดเป็นเวลา จึงมีนักศึกษาเข้า - ออกเป็นประจำ จนตี 2 ของคืนหนึ่ง มีนักศึกษากลับมาจากข้างนอกแล้วเดินขึ้นลิฟต์ตามปกติ หลังจากกดชั้นที่พัก ลิฟต์ก็เคลื่อนที่ไปได้สักพักแล้วก็หยุด พร้อมๆ กับไฟดับและมีเสียงร้องดังออกมาข้างนอก จากนั้นลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมฝุ่นตลบ มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนว่าอย่ายืนทับที่ หลังจากนั้นก็มีการทำบุญหอกันมาทุกๆ ปี
หัวข้อ: จดหมายรักจากช่วงช่วง
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ตุลาคม 07, 2009, 08:56:41 PM
ที่อยู่
โซนจัดแสดงแพนด้าแห่งสวนสัตว์เชียงใหม่

วันที่เฝ้า เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คอย 

ถึงหลินฮุ่ย..........แพนด้ายาใจ

สวัสดีจ้ะ หลินฮุ่ย
เธอเป็นยังไงบ้างจ้ะ หลินฮุ่ย สบายดีมั้ย
ตั้งแต่วันนั้นที่เธอเบื่ออาหารโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเธอยังกะหมีแพ้ท้องเลยนะ หลังจากวันนั้นพวกมนุษย์ก็จับตัวเธอแยกไปจากฉัน
วานนี้ตอนที่ฉันกำลังนั่งคิดถึงเธออยู่ ฉันก็ได้ยินพวกมนุษย์พูดคุยกันว่าเธอมีลูกแล้ว
เธอรู้มั้ยว่าตอนแรกที่ฉันได้ยิน ฉันตกใจและโกรธเธอมาก ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าเธอไปท้องกับใครมา
ฉันเสียใจกับการกระทำของเธอที่เธอนอกใจฉันจนฉันอยากจะร้องเพลง "น้ำตาจ่าโท" (ช่วงนั้นฉันขอบตาคล้ำขึ้นด้วยล่ะ)
แต่ฉันก็คิดไม่ออกจริง ๆ หมีแพนด้าในประเทศไทยก็มีแค่เธอกับฉันเท่านั้น ฉันเองก็ไม่เคยอะไรกับเธอ แค่เกือบไปครั้งนึงเท่านั้น
พูดถึงเรื่องนี้ ฉันเองต้องขอโทษเธอสำหรับวันนั้นด้วยนะ วันที่ฉันเกือบล่วงเกินเธอไป อารมณ์ชั่ววูบเกือบจะทำพรหมจารีย์เธอพินาศ
หลินฮุ่ย เธอรู้ใช่มั้ยว่าตอนฉันอยู่ที่เมืองจีน ฉันได้รับสมญาจากหมีสาวทั้งหลายว่า "ช่วง ช่วง ร้อยลีลา" หรือไม่ก็ "คาสแนนด้า" ดังนั้น เรื่องอย่างว่าเนี่ย ฉันไม่เป็นรองหมีแพนด้าใดในโลกอยู่แล้วล่ะ เรื่องตลกอยู่ที่หลังจากนี้ เธอรู้มั้ยว่าพวกมนุษย์แก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง
พวกมนุษย์เอาหนังโป๊หมีแพนด้าให้ฉันดู !!
พวกมนุษย์นอกจากจะมีคลิปแอบถ่ายพวกเดียวกันเองแล้ว ยังจะมาแอบถ่ายหมีแพนด้าอีก
อนิจจา มนุษย์ พวกมันเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย!!
มีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังค้างคาใจ
ถามเธอตรง ๆ แล้วกันนะ 

หมีตัวไหนเป็นพ่อของลูกเธอ??

ยังไงก็ตามฉันร้อนใจกับเรื่องนี้มาก   
หวังว่าเธอคงรีบตอบกลับนะ ฉันไม่อยากตาคล้ำไปมากกว่านี้

I look forward to hearing from you na.
คิดถึง..........จนเธอคิดไม่ถึงเลยล่ะ

จาก ช่วง ช่วง ในห้วงหฤทัย

พ.ล. (แพนด้าลิขิต)

ฉันว่าวันที่ 12 สิงหาคมนี้ พวกมนุษย์ต้องให้ลูกเธอมามอบดอกมะลิกับเธอแน่ ๆ
พนันกับฉันมั้ยล่ะ...   

หัวข้อ: จดหมายรักจากหลินฮุ่ย
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ตุลาคม 07, 2009, 08:57:24 PM
ที่อยู่ 
โซนจัดแสดงแพนด้าแห่งสวนสัตว์เชียงใหม่ 

วันที่เคลื่อน เดือนที่หนี ปีที่ผ่าน


ฉันเห็น จดหมายฉบับที่แล้ว เธอทักทายฉันด้วยคำว่า "สวัสดี" แบบพวกมนุษย์แล้วฉันรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลย ฉันไม่อยากให้เธอรับค่านิยมของพวกมนุษย์มากจนเกินไป พวกเราเป็นหมีก็ไม่ควรลืมกำพืดหมี พวกเราก็น่าจะต้องอนุรักษ์ภาษาหมีเราไว้ อย่าให้ภาษาหมีของเราต้องวิบัติเหมือนกับภาษามนุษย์เลยเนอะ
ต้องขอโทษเธอด้วยนะที่ฉันตอบจดหมายเธอช้าไปหน่อยต้องสาละวนอยู่กับการเลี้ยงลูก  ลูกสาวของเรากำลังซนเลยทีเดียว
อ้อ พอพูดถึงเรื่องลูกแล้วนึกได้
จากจดหมายฉบับที่แล้วที่เธอส่งมาถามฉันว่า "ใครเป็นพ่อของลูกหมี"
โถ โถ โถ โถ โถ โถ..........ช่วงช่วง ผู้น่าสงสาร 
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครบอกเธอเลยเหรอเนี่ย ว่า "เธอนี่แหละ ที่เป็นพ่อของเด็ก"
ฉันเองไม่ถือโทษโกรธเธอหรอกนะที่เธอไม่รู้ว่าลูกหมีตัวนี้เป็นลูกของเธอ
เพราะตอนแรก.....ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าฉันท้อง
ฉันไม่รู้จนกระทั่งวันที่หมีน้อยตัวนี้ไหลปรุ๊ดออกมาจากหมีใหญ่ (ฉันหมายถึงตัวฉันเอง อย่าคิดลึก)
ตอนนั้นฉันงงมากว่าฉันมีลูกได้ยังไง เพราะตั้งแต่เล็กจนโตฉันก็ไม่เคยปั่มปั๊มกับหมีตัวไหน ฉันยังรักษาพรหมจรรย์อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอมาจนกระทั่งวันนี้
ฉันนอนนึกถึงเรื่องนี้อยู่หลายคืน ว่าไอ้หมีน้อยตัวนี้มันมาอยู่ในท้องฉันได้ยังไง มีใครเล่นคุณไสยเสกหมีเข้าท้องฉันรึเปล่า
แล้วคืนที่ 10 ฉันก็ได้รับคำตอบ
ต้องเป็นฝีมือของพวกมนุษย์แน่ ๆ

อุ๊ย ขอโทษอีกทีนะจ๊ะ ช่วงช่วง ฉันเผลอเข้าโหมดเครียดอีกแล้ว (ฉันใช้ศัพท์วัยรุ่นไหม ฮิฮิ)
ตอนนี้ฉันเครียด ๆ น่ะ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกของเราที่กำลังซน ไหนจะต้องรับมือกับพวกมนุษย์ที่เข้ามารบกวนฉันทั้งเช้าทั้งเย็น

เธอรู้มั้ย พวกมันเอาลูกของเราไปวัดส้นตีนทุกวันเลย

ฉันไม่ได้หยาบคายนะจ๊ะ ช่วงช่วง
พวกมนุษย์เอาลูกของเราไปวัดส้นตีนจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะไปวัดทำส้นตีนอะไร
จดบันทึกทุกวัน ว่า ส้นตีนลูกเรายาวขึ้นเท่าไร ลืมตาซ้ายเมื่อไร ลืมตาขวาเมื่อไร ลืมตาไหนก่อนกัน ลืมตาซ้ายขวาห่างกันกี่วันฃ วันนี้ลูกเราขนขึ้นที่ไหน ขนสีขาวหรือสีดำ ขนตรงหรือหยักศก ฯลฯ
ช่วงช่วง เธอคิดว่าพวกมนุษย์ วื่นวือ มั้ย
ในฐานะที่ฉันเป็นแม่ ฉัน โคตร ดีใจเลยแหละที่มีมนุษย์สนใจตั้งชื่อให้ลูกเราขนาดนี้ 
บางชื่อฉันว่ามันก็น่ารักดีหรอก แต่บางชื่อนี่สิ คิดมาได้ไง
มีใบนึงตั้งชื่อลูกของเราว่า "เห็น"
ทุเรศ ใช้อะไรคิดเนี่ย จะเรียกหมีเห็น ๆ เนี่ยนะ น่าเกลียดแย่ ลูกเราเป็นผู้หญิงซะด้วย
จะตั้งชื่ออะไรก็ตามเถอะ ขออย่างเดียว หวังว่าคงไม่มีมนุษย์คนไหนเอาวันเดือนปีเกิดของลูกเราไปให้พระที่วัดตั้งชื่อให้นะ
ฉันกลัวบาป 
เอาล่ะ ในที่สุดก็มี 4 ชื่อที่ได้เข้ารอบนั่นก็คือ

1. ขวัญไทย     ฉันไม่ชอบชื่อนี้เลยอ่ะ ฉันว่าไอ้ชื่อ "ขวัญไทย" เนี่ย มันเหมือนชื่อนิตยสารแสดงแบบชุดผ้าไหมมากกว่าชื่อหมีแพนด้านะ     
2. ไทยจีน       อื้อ หือ ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาก ๆ เลยล่ะ จีนส่งหมีมาไทย เลยชื่อไทยจีน
3. หญิง หญิง   ฉันไม่ค่อยชอบชื่อนี้นะ มันธรรมดาไป
4. หลินปิง       มนุษย์โหวตชื่อนี้กันแหละ เธอชอบมั้ย ฉันเฉย ๆ   

พ่อชื่อช่วงช่วง แม่ชื่อหลินฮุ่ย ลูกของเราก็น่าจะชื่อ "ชุ่ยชุ่ย"


นี่ ๆ ฉันมีเรื่องตลกจะเล่าให้เธอฟังด้วยล่ะ
เธอรู้มั้ยว่าพวกมนุษย์ทำให้ลูกสาวของเรารู้จักเธอได้ยังไง

ติ้ก ต้อก ติ้ก ต้อก ติ้ก ต้อก

พอแระ ฉันให้เวลาเธอแค่นี้ ฉันเหนื่อย
เฉลยก็คือ 
พวกมนุษย์ติดรูปเธอไว้รอบ ๆ กรง เพื่อให้ลูกของเรารู้จักและคุ้นเคยกับเธอ
อนิจจา ปาจิงโกะ พวกมันคิดได้ไงเนี่ย!!
เธอรู้มั้ยหลังจากวันที่เธอได้เจอลูก พวกมนุษย์ลงข่าวในวันรุ่งขึ้นว่าอะไร



"แพนด้าน้อยปลื้มใจ พบหน้าพ่อ"


ไอ้ห่า แพนด้านะ ไม่ใช่น้องเคอิโง๊ะ มาปลื้มใจพบหน้าพ่อเนี่ย
ชั้นล่ะเบื่อพวกมนุษย์จริง ๆ 

ไม่ต้องส่งกลับมาแล้วนะ
ฉันว่าพอถึงภาค 3 มันคงไม่ขำแล้วล่ะ

รักไม่แพ้ รักไม่ชนะ..........ก็ "รักเสมอ" ไง

จาก หลินฮุ่ย
ตะลุยเรื่องรัก

พ.ล.   (แพนด้าลิขิต)

ฮิ ฮิ เธอแพ้พนันฉันแหละ
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา พวกมนุษย์ไม่ได้จับลูกของเรามาให้ดอกมะลิฉัน (ฉันว่าถ้าทำ ก็เกินไปจริง ๆ แหละ)
พวกมนุษย์แค่ยกย่องให้ฉันเป็น "แม่ตัวอย่าง" เท่านั้นเอง
เธอช่วยคิดหน่อยสิว่า ฉันควรเป็นตัวอย่างให้กับคนหรือหมีดี
ฉันงง 
เฮ้อ!! มนุษย์จริง ๆ   
 
หัวข้อ: กฎ 2 ข้อ ของนักศึกษาแพทย์
เริ่มหัวข้อโดย: แมค ตีนดอย ที่ ธันวาคม 01, 2009, 09:44:13 PM
กฎ 2 ข้อ ของนักศึกษาแพทย์

เข้าเรียนวิชากายวิภาควิทยาเป็นครั้งแรกกับศพจริง
ซึ่งเป็นร่างกายของชายผู้เสียชีวิตแล้ว
นักเรียนทุกคนล้อมรอบโต๊ะผ่าตัด ซึ่งมีร่างศพคลุมด้วยผ้าผืนสีขาว

ศาตราจารย์ได้เริ่มการสอนโดยกล่าวกับนักศึกษาแพทย์ศา สตร์ทั้งหลายว่า
"ในวิชาแพทย์ศาสตร์, มีเพียงสองสิ่งสำคัญที่จะทำให้ท่านนั้น มีคุณสมบัติเป็นแพทย์ที่มีคุณภาพได้ คือ”

“ข้อแรก...มันเป็นความจำเป็นที่ท่านจะไม่ขยะแขยง"
ศาตราจารย์ได้เปิดผ้าคลุมขึ้นและยัดนิ้วเข้าไปในรูทวารหนักของศพ แช่ไว้และเอานิ้วออกมา เขาดูดให้นักเรียนดู ศาตราจารย์กล่าวกับนักเรียนว่า

"เอ้า..!! เร็ว นักศึกษาจงทำ..!!"

นักศึกษาแพทย์ต่างกลัวในเหตุการณ์ที่วิตถารเช่นนี้
แต่ภายหลังต่างก็หันมาผลัดกันยัดนิ้วของตนเข้าไปที่ท วารหนักของศพและนำมาดูดหลังจากเอานิ้วออกมา
ครั้นเสร็จสิ้นจนครบทุกคน, ศาตราจารย์เพ่งไปที่นักเรียนแพทย์และกล่าวขึ้น...









“คุณสมบัติของแพทย์ที่ดี...
ข้อที่สอง..คือ ต้องเป็นคนช่างสังเกต...เมื่อกี้อาจารย์เอานิ้วกลางยัดเข้าไป แต่อาจารย์ดูดที่นิ้วชี้
กรุณาสนใจการสอนหน่อย..นักศึกษาทุกท่าน !!"
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ธันวาคม 02, 2009, 09:41:23 AM
 -07
หัวข้อ: Re: ผีในรั้วมหาลัย
เริ่มหัวข้อโดย: korokoso ที่ ธันวาคม 03, 2009, 10:30:17 AM
ศาลในห้องน้ำหญิง ม. เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง
เรื่องเล่าเกี่ยวกับศาลเจ้าที่ติดอยู่บนผนังห้องน้ำหญิงตึกวิศวะฯ จะมีดอกไม้ธูปเทียนและน้ำแดงอยู่ด้วยเสมอ คนเก่าๆ จะรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี เป็นเรื่องของนักศึกษาสาว         สถาปัตยฯ  อกหักจากหนุ่มวิศวะฯ จึงไปผูกคอตายที่ห้องน้ำดังกล่าว ปัจจุบันเป็นแหล่งลองของชั้นดีของผู้ที่ต้องการลองของ เพราะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ใครอยู่รุ่นแรกก็จะได้เห็นรูปของเธอผู้นี้ในศาลด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ศาลยังคงมีอยู่ ที่สำคัญห้องน้ำตรงนั้นยังเปิดใช้อยู่...


เรื่องนี้คงต้องให้จานโกยเข้ามาช่วยเคลียร์ด้วยครับ ว่า จริงหรือปล่าว
คือว่า เคยไปลองมาแล้วตอนสมัยเรียน แต่ไม่เห็นเจออะไรเล้ย สรุปว่ามั่วนิ่มครับ
ปล.ไม่มีเด็กถาปัตย์สิ้นคิดขนาดนั้นครับ
หัวข้อ: ยกมือถามจานโกยต่อครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ธันวาคม 03, 2009, 11:21:11 AM
แล้วทำไมถึงได้มีศาลเจ้าเข้าไปตั้งอยู่ในห้องน้ำหญิงแบบนั้นได้ล่ะครับจาน
มีที่มาที่ไปเล่าสู่กันฟังได้หรือปล่าวครับ  ????
หัวข้อ: Re: กฎ 2 ข้อ ของนักศึกษาแพทย์
เริ่มหัวข้อโดย: นิชคุณ ป๋ายดอย ที่ ธันวาคม 03, 2009, 03:31:25 PM
กฎ 2 ข้อ ของนักศึกษาแพทย์

เข้าเรียนวิชากายวิภาควิทยาเป็นครั้งแรกกับศพจริง
ซึ่งเป็นร่างกายของชายผู้เสียชีวิตแล้ว
นักเรียนทุกคนล้อมรอบโต๊ะผ่าตัด ซึ่งมีร่างศพคลุมด้วยผ้าผืนสีขาว

ศาตราจารย์ได้เริ่มการสอนโดยกล่าวกับนักศึกษาแพทย์ศา สตร์ทั้งหลายว่า
"ในวิชาแพทย์ศาสตร์, มีเพียงสองสิ่งสำคัญที่จะทำให้ท่านนั้น มีคุณสมบัติเป็นแพทย์ที่มีคุณภาพได้ คือ”

“ข้อแรก...มันเป็นความจำเป็นที่ท่านจะไม่ขยะแขยง"
ศาตราจารย์ได้เปิดผ้าคลุมขึ้นและยัดนิ้วเข้าไปในรูทวารหนักของศพ แช่ไว้และเอานิ้วออกมา เขาดูดให้นักเรียนดู ศาตราจารย์กล่าวกับนักเรียนว่า

"เอ้า..!! เร็ว นักศึกษาจงทำ..!!"

นักศึกษาแพทย์ต่างกลัวในเหตุการณ์ที่วิตถารเช่นนี้
แต่ภายหลังต่างก็หันมาผลัดกันยัดนิ้วของตนเข้าไปที่ท วารหนักของศพและนำมาดูดหลังจากเอานิ้วออกมา
ครั้นเสร็จสิ้นจนครบทุกคน, ศาตราจารย์เพ่งไปที่นักเรียนแพทย์และกล่าวขึ้น...









“คุณสมบัติของแพทย์ที่ดี...
ข้อที่สอง..คือ ต้องเป็นคนช่างสังเกต...เมื่อกี้อาจารย์เอานิ้วกลางยัดเข้าไป แต่อาจารย์ดูดที่นิ้วชี้
กรุณาสนใจการสอนหน่อย..นักศึกษาทุกท่าน !!"


 :laugh1: :laugh1: :laugh1: ฮา สุดๆๆๆ ชอบๆๆๆๆ
หัวข้อ: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: Super เซียน ที่ ธันวาคม 07, 2009, 01:01:33 PM

ในขณะที่เราคิดถึงคนๆ หนึ่งตลอดเวลา
ในขณะที่เราคิดถึงคนๆ หนึ่งตลอดเวลา
เขาคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา
โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกันบางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว
มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด
มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียวฉะนั้น
ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง

การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเขา ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า…
เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4…และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเขา…
ก็ขอให้คิดไว้ว่า
ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลยแต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดังๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า…ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
โปรดห้ามใจเถอะ ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้…
ก็จงชอบต่อไปเถอะ

การรักใครซักคน ไม่ต้องการความพยายาม
“การตัดใจ” ต่างหาก
ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า
ความสุขยามที่คุณได้สบตาเขา
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเขา
อันไหนมันหนักหนากว่ากันอย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเขาสายเกินไป…
อย่าโทษเขาที่ไม่มีใจให้…
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน
แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกันแต่จงยิ้มให้กับตัวเอง
ที่อย่างน้อย ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ…
ยิ้มให้เขา ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป…ยิ้มให้กับโชคชะตา
ที่ยังทำให้เรา…ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ครั้งหนึ่งคุณได้เจอ
คนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเขาไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง…
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ…และร้องไห้ได้มากมาย…คนที่เพียงแค่ยิ้มของเขา
ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น…
ให้กลายเป็นวันที่สดใส
เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?แค่การได้เห็นคนที่เรารัก
ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคนที่เขารักมากที่สุด
…นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก…อย่างจริงใจ
 
 


ที่มา

lovelovestories
 
หัวข้อ: เบอร์โทรศัพท์บอกอะไรได้บ้าง
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ธันวาคม 29, 2009, 09:00:43 AM
เบอร์โทรศัพท์บอกอะไรได้บ้าง
วิธีการ นำเบอร์โทรศัพท์มาบวกกัน           
ตัวอย่าง    081-234-5678                     
           0+8+1+2+3+4+5+6+7+8 = 44                 
ดูที่เลข 44

0
ดาวมฤตยู หมายถึง นักวิทยาศาสตร์ คนทันสมัย มีความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรแตกต่างจากผู้อื่น มีญาณพิเศษ อาจทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และดาวมฤตยูยังแสดงถึงสิ่งเร้นลับ และการเดินทางไปต่างประเทศ

1
ดาวอาทิตย์เป็นดาวบาปเคราะห์ ให้ผลในทางร้อนแรง เที่ยงตรง อยู่ที่ไหนไม่นาน ตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร ได้แก่พวกมียศมีตำแหน่ง เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการ

2
ดาวจันทร์เป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลทางอ่อนหวาน ความไม่แน่นอน ความเชื่องช้า ลึกลับ ยั่วยวน มารยา เอาอกเอาใจ ได้แก่ หญิงชั้นนำ นางพยาบาล การบริการ

3
ดาวอังคารเป็นดาวบาปเคราะห์ ให้ผลในเรื่องสงคราม การต่อสู้ ได้แก่บุคคลในเครื่องแบบ ทหาร ตำรวจ หน่วยกู้ภัย ช่าง หมอ พยาบาล อาวุธ เครื่องมือต่างๆ ยานพาหนะ ความกล้าหาญ ความขยัน

4
ดาวพุธเป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลในการค้าขาย การเจรจาติดต่อสื่อสาร ได้แก่ผู้สื่อข่าว พิธีกร อาหารการกิน เสื้อผ้า ผักผลไม้ การวางแผน สัญญา ต้นไม้ ใบไม้

5
ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลในด้านการศึกษา ศาสนา ได้แก่ พระ ครูบาอาจารย์ ผู้พิพากษา แพทย์ วัด สถานศึกษา โรงพยาบาล ศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตำรา เครื่องรางของขลัง ปัญญา ศีลธรรม ความรับผิดชอบ

6
ดาวศุกร์เป็นดาวศุภเคราะห์ ให้ผลด้านการเงิน ความรัก ที่หลับที่นอน ความสนุกสนาน ความสมหวัง ความงาม ได้แก่หญิงมีฐานะ นักแสดง นักดนตรี นักรัก ช่างเสริมสวย ของสวยงาม

7
ดาวเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ ให้ผลด้านเกษตรกรรม กสิกรรม ของสกปรก ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ความมืด ความพิการ

8
พระราหู ให้ผลด้านโมหะจริต ความมัวเมา ความเสเพล การเสี่ยงโชคและโชคลาภ โหราศาสตร์ อบายมุข ไม่เกรงใจใคร มุทะลุ เห็นผิดเป็นชอบ มีเล่ห์เหลี่ยม กล้าได้กล้าเสีย ชอบของมึนเมา

9
ชีวิตจะพบแต่ความรุ่งเรืองไม่มีสิ้นสุด

10
ชีวิตมักระทมขมขื่น อาภัพ ทุกข์ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ปัญหายุ่งยากภายในครอบครัวหรือปัญหาการงาน บางรายอาจมีหนี้สินมากจนเป็นทุกข์อย่างหนัก มักมีอุปสรรค บริวารมักให้โทษ

11
ทำอะไรมักจะดีแต่ตอนต้น สุดท้ายก็ล้มเหลว ชีวิตมักมีอันตราย ให้ระวังการถูกทรยศหักหลังจากผู้อื่นและเพศตรงข้าม เป็นคนที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรค ทำคุณคนไม่ขึ้น ค่อนข้างอ่อนไหวโรแมนติก อ่อนนอกแข็งใน

12
กำลังพระราหู มีโมหะจริตเข้าครอบงำ หลงอะไรง่ายๆ มักถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่น โดยนิสัยเป็นคนหูเบา เป็นนักเลง เลข 1 ดาวอาทิตย์กับเลข 2 ดาวจันทร์ ธาตุไฟกับธาตุน้ำมาอยู่รวมกัน จึงทำให้มีอารมณ์ขัดแย้งกัน เป็นคนสองพฤติกรรมในตัวเอง นุ่มนวลแต่แข็งกร้าว จะมีเรื่องความทุกข์ความผิดหวัง ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา หน้าที่การงานจะไม่ยั่งยืนถาวร มักถูกใส่ร้ายจากเพื่อนร่วมงาน

13
จะเกิดทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ชีวิตมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ชีวิตจะมีทุกข์อุปสรรค ล้มเหลว ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ไม่ได้แต่งงาน หรือถ้าได้แต่งงาน ครอบครัวจะมีปัญหาแตกร้าว ถ้าผู้ชายจะมีเรื่องชู้สาวหรือรักสามเส้า ต้องระวังอุบัติเหตุ

14
จะทำให้ชีวิตประสพผลสำเร็จอย่างมั่นคง สติปัญญาดี ความจำแม่นยำ นำพาไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มีความสุขุม ชอบค้นหาความก้าวหน้าให้แก่ชีวิต และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครอง มีโอกาสข้องแวะกับเรื่องต่างประเทศ เช่น ศึกษาต่างประเทศ เที่ยวต่างประเทศ อยู่ต่างแดน คบหาคนต่างชาติ สนใจธรรมมะ รักความยุติธรรม ทำงานที่ต้องพบปะกับคนแปลกหน้าจึงจะดี

15
ทำให้มีเสน่ห์และเป็นคู่มิตรด้วย ไม่ว่าทำอะไรจะมีคนมาช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา เลข 1 ดาวอาทิตย์และ 5 ดาวพฤหัสบดีรวมกันได้ 6 ดาวศุกร์เป็นดาวศุภเคราะห์ เป็นหมายเลขที่โชคดีมากเกี่ยวกับการเงิน สามารถหาเงินได้ง่าย

16
หากมีความสำเร็จในชีวิตมักจะต้องพบกับจุดจบอย่างไม่คาดคิด หมายเลข 16 ไม่เหมาะกับสตรีเป็น จะทำให้ผิดหวังเรื่องความรัก เช่น แต่งงานช้า ไม่ได้แต่ง ถ้าได้แต่งก็ต้องเลิกกัน หรือเป็นเมียน้อย เป็นม่ายก่อนวัยอันควร พบกับความทุกข์ อุปสรรค อับโชค ชีวิตมักประสบโชคร้ายมากกว่าโชคดี

17
จะผิดหวังเรื่องความรักทุกรูปแบบ จะพลัดพรากจากกัน เป็นเมียน้อย หย่าร้าง รักสามเส้า เป็นหมายเลขร้ายกับชีวิต ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี ถูกกลั่นแกล้ง อิจฉาริษยา

18
ชีวิตรุ่งโรจน์แล้วตกต่ำได้ ชีวิตอยู่ไม่ติดที่ มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ จึงไม่เหมาะกับอาชีพที่ทำงานอยู่กับที่ ควรหางานที่จะต้องเดินทางจะเหมาะกว่า ชีวิตครอบครัวจะมีปัญหาในเรื่องของความรักทุกรูปแบบ เลขนี้ไม่เหมาะกับสุภาพสตรีอย่างยิ่ง อาจพบกับการหย่าร้าง รักสามเส้า ระวังการทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรง ถูกทรยศหักหลัง ทำคุณคนไม่ขึ้น

19
ชอบศึกษาหาความรู้ ชีวิตจะประสบความสำเร็จ ได้รับการอุปการะจากผู้ใหญ่ เป็นหมายเลขนำโชค ได้รับเกียรติอย่างสูงส่งในสังคม ส่งผลดีให้กับชีวิต ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หมายเลข 19 ไม่เหมาะกับผู้หญิง ชีวิตมักจะกำพร้า ถ้ามีสามีอาจส่งผลให้สามีตกจากตำแหน่งหน้าที่การงาน สตรีจะมีปัญหาเรื่องคู่ เช่นแต่งงานช้า ไม่ได้แต่ง หรือแต่งแล้วต้องเลิกกัน จะพลัดพรากจากกัน หย่าร้าง รักสามเส้า เป็นหม้าย แต่หมายเลขนี้จะส่งผลดีต่อเพศชาย

20
พฤติกรรมเป็นคนเพ้อฝัน ไม่ชอบอยู่กับที่ อ่อนไหวง่าย มีความทะเยอทะยานสูง ชอบทำอะไรใหญ่เกินตัว หมายเลขนี้ไม่เหมาะกับสุภาพสตรี จะมีปัญหาเรื่องคู่ เช่น แต่งงานช้า ไม่ได้แต่ง หรือแต่งแล้วต้องเลิกกัน เป็นเมียน้อย รักสามเส้า เป็นหม้าย

21
ชีวิตจะมีเหตุแตกหักกลางคัน และตกจากตำแหน่งหน้าที่การงาน จะมีเรื่องของความทุกข์ ผิดหวัง ชีวิตและการสมรสตกอยู่ในความไม่แน่นอน บางครั้งอาจพบกับความรุ่งโรจน์ แต่ก็จะล้มอย่างฉับพลัน หน้าที่การงาน ความรัก ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนสมหวังแต่กลับผิดหวัง หาความแน่นอนไม่ได้

22
เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน หญิงเป็นชาย ชายเป็นหญิง เป็นคนมีลางสังหรณ์ดี เป็นนักคิดนักฝัน มั่นใจตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่กับที่ อยู่ไม่ติดบ้าน ชอบทำอะไรแหวกแนว หาความแน่นอนไม่ค่อยได้ ความคิดเห็นแย้งกับคนอื่นเสมอ มีดวงโชคลาภ อาจจะร่ำรวยหรือเด่นดังอย่างไม่คาดคิด จะได้ดีมีสุขเพราะโชคดีมากกว่าที่จะสร้างมาด้วยตนเอง

23
ถ้าเป็นผู้ชายต้องระวังจะเสียหายเพราะผู้หญิง ผู้หญิงจะทำให้ชีวิตตกต่ำ มีศัตรูคอยแอบแฝงทำร้าย มักเป็นคนเจ้าชู้ เป็นคนอารมณ์เร่าร้อน ผู้ใหญ่จะสนับสนุนดี มีเมียหลายคนทั้งเปิดเผย และไม่เปิดเผย เป็นคนมีเสน่ห์ ดึงดูดใจเพศตรงข้าม ถ้าหลงใฝ่ต่ำเรื่องทางเพศ จะทำให้ชีวิตต้องพบกับหายนะ ส่วนผู้หญิงจะดี มีผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือสนับสนุน ส่งเสริมให้ชีวิตประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่อาจเจ้าชู้ได้เพราะมีเสน่ห์

24
เป็นคนมีเสน่ห์ ดึงดูดใจให้คนชอบพอรักใคร่ สุภาพอ่อนหวาน มีโชคดีเกี่ยวกับการเรื่องเงินๆ ทอง ๆ มีเพื่อนและบริวารมาก เพื่อนฝูงมักให้การอุปถัมภ์ เป็นที่รักของคนทั่วไป สติปัญญาดี เป็นนักพูดชั้นดี เหมาะกับอาชีพ นักปกครอง ผู้บริหาร พ่อค้า
เข้ากับใครได้ง่าย และได้รับความสุขในด้านความรัก เป็นหมายเลขที่ดีที่สุดเลขหนึ่ง

25
เป็นดาวศุภเคราะห์ทั้งคู่ ดาวจันทร์และดาวพฤหัสบดีทำให้ชีวิตมีความก้าวหน้า เป็นคนฉลาดชอบศึกษาหาความรู้ เข้าหาผู้ใหญ่เป็น หาเงินเก่ง สุขุมรอบคอบ ฐานะมั่นคง มีทรัพย์สิน เงินทองไม่ลำบาก ดวงความรักดี ดูเผินๆ ชีวิตน่าจะประสพความสำเร็จเป็นอย่างดี ข้อเสียคือกว่าจะประสพความสำเร็จต้องต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะ 2 กับ 5 บวกกันได้ 7 ดาวเสาร์ ชีวิตต้องมีอุปสรรค และเป็นดาวแห่งปัญหา มีปัญหาให้แก้ไขอยู่ตลอดเวลา

26
มักต้องช่วยเหลือผู้อื่น แต่หาผู้อื่นมาช่วยเหลือตนเองได้ยากเย็นเหลือเกิน ชีวิตน่าจะประสบความสำเร็จ แต่จะไม่ยั่งยืน ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี จะถูกกลั่นแกล้งแย่งชิงความดีความชอบ ถูกผู้ใหญ่ที่มีอำนาจจับผิด ไปร่วมหุ้นกับใครจะถูกโกง ต้องระวังเรื่องชู้สาวจะมีปัญหารักสามเส้า

27
มักจะมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง มีความทุกข์แอบแฝง จะต้องสูญเสียบุคคลที่รักในขณะที่ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือเสียเงินอย่างไม่คาดคิด จะมีชีวิตที่วุ่นวาย เพศตรงข้ามสร้างปัญหาให้ตลอดเวลา บั้นปลายชีวิตจะต้องทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ

28
มีคนเบียดบังเอาความดีความชอบ จะไร้คู่ หรือจะได้คู่เป็นพ่อหม้ายแม่หม้าย มักมีความทุกข์ บริวารจะสร้างปัญหา ต้องแบกภาระการงานอย่างหนัก มีหนี้สินท่วมหัว โรคภัยเบียดเบียน ผิดหวังด้านความรัก พลัดพรากจากคนรัก

29
การดำเนินชีวิตพลิกผัน ถูกกดดันกลั่นแกล้ง อิจฉาริษยา ชีวิตคู่มักล้มเหลว เพศตรงข้ามจะสร้างปัญหามาให้ ให้ระวังเพื่อนที่ไม่ซื่อตรง เป็นคนอ่อนนอกแข็งใน หลงตัวเอง ดื้อรั้น รสนิยมดี ชีวิตไม่ลำบาก แต่ไม่มีความสุข มีเรื่องทุกข์ใจ ความรุ่งเรืองไม่ยั่งยืน ความรักข่มขื่น

30
ธุรกิจการค้า หน้าที่การงาน ความรัก สัมพันธ์กับความไม่แน่นอนในชีวิต หวังอะไรมักไม่ได้ ทั้งๆ ที่กำลังจะสำเร็จ ก็มีเหตุมาเปลี่ยนแปลงให้ไม่สมหวัง ระวังเรื่องอุบัติเหตุ ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ไม่ได้แต่งงาน หรือแต่งไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง จิตใจเข้มแข็งห้าวหาญ กล้าได้กล้าเสีย โกรธง่ายหายเร็ว

31
จะเกิดทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ชีวิตมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว มีทุกข์ อุปสรรค ล้มเหลว กลายเป็นคนอมทุกข์ ชีวิตสมรสไม่แน่นอน คือไม่ได้แต่งงาน หรือถ้าได้แต่งงาน ครอบครัวจะมีปัญหาแตกร้าว ถ้าผู้ชายจะมีเรื่องชู้สาว หรือรักสามเส้า การงานไม่ก้าวหน้า การเงินติดขัด ยามได้ดีมีสุขก็เกิดทุกข์ภัยไม่คาดฝัน

32
ในเรื่องของความรักมักเป็นคนเจ้าชู้ เป็นคนอารมณ์เร่าร้อน รุนแรง ผู้ใหญ่จะให้การสนับสนุนดี เพศตรงข้ามจะนำโชคลาภมาให้ แต่บางครั้งก็นำเรื่องเดือดร้อนใจมาแทน ดวงนี้จะต้องเหนื่อยก่อนจึงจะมั่งมีศรีสุข มีเมียหลายคนทั้งเปิดเผย และไม่เปิดเผย เป็นคนมีเสน่ห์ ดึงดูดใจเพศตรงข้าม ถ้าหลงใฝ่ต่ำเรื่องทางโลกทางเพศ จะทำให้ชีวิตพบกับหายนะจนชีวิตตกต่ำ ตกจากตำแหน่งหน้าที่การงาน มีเรื่องอื้อฉาว เป็นสตรีถึงจะดี จะมีผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ แต่อาจเจ้าชู้ได้ เพราะมีเสน่ห์

33
ดาวอังคารสองดวงส่งผลให้มีความขยันพากเพียรจนพบความสำเร็จ แต่มีข้อเสียคือ เป็นดาวบาปเคราะห์ทั้งคู่ จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างรุนแรง ทำอะไรมักเอาแต่ใจตนเอง ต้องระวังอันตรายจากอุบัติเหตุรุนแรง การทะเลาะวิวาท ความรักรุนแรง มีความอดทนสูงแต่วู่วาม มักไม่มีเหตุผล ดวงชะตารุ่งเรืองดีแต่ไม่ยั่งยืน ชอบแสวงหาความเจริญก้าวหน้าให้ชีวิต หาเงินเก่ง ควรระวังเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์

34
มีสติปัญญาแตกฉาน กล้าพูด กล้าทำ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เรียนรู้เร็ว ชีวิตถึงแม้จะมีอุปสรรคก็ไม่ย่อท้อ ต้องเหน็ดเหนื่อย มีทั้งความผิดหวัง ล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ระวังอุบัติเหตุทุกรูปแบบถึงขั้นพิการ อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต

35
จะทำให้ถูกหลอก ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ถูกคนเอารัดเอาเปรียบ ระวังอย่าเชื่อใจใครง่าย ๆ ความล้มเหลวของชีวิตจะมาจากพรรคพวกเพื่อนฝูง หุ้นส่วน จะมีปัญหารักสามเส้า มักมีความรักไม่เปิดเผย กำพร้าพ่อแม่ หรือพ่อแม่เลิกลากัน

36
เป็นดาวคู่มิตรส่งผลให้ความรักสมหวังสดชื่น จะมีคนให้การช่วยเหลือ สติปัญญาดี มีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม มีหัวคิดค้น มีมิตรสหายมาก ชีวิตประสบความสำเร็จดี สุภาพสตรีที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของหมายเลข 36 จะมีโอกาสได้แต่งงานสูงมาก

37
เป็นเลขร้ายเป็นกำลังของดาวบาปเคราะห์ หมายถึงการวิวาทขัดแย้ง ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย ระวังการผ่าตัดและอุบัติเหตุ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ชีวิตต้องเริ่มใหม่อยู่เสมอ มักเกี่ยวข้องกับความตาย ชีวิตมีแต่ความผิดหวัง บริวารนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ มีหนี้สินท่วมหัว ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ชอบแบกปัญหาของผู้อื่น สติปัญญาดี เป็นคนมีความรู้แตกฉาน

38
ชีวิตจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือ เป็นที่รักและนับถือแก่คนทั่วไป เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนรักใคร่ โรแมนติกอ่อนหวาน สุภาพเรียบร้อย มีโชคดีเกี่ยวกับการเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มีเพื่อนมาก เพื่อนฝูงมักค้ำจุน สติปัญญาดี เป็นนักพูดชั้นเลิศ

39
มักจะพบความยุ่งยากในชีวิตเสมอ เมื่อมีเรื่องกระทบกระเทือนใจ อาจถึงขั้นวิปริตไปได้ง่าย ๆ เช่น ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น มักพบเรื่องทุกข์ใจและอุปสรรคต่างๆ ชีวิตสมรสไม่แน่นอน คาดหวังอะไรมักไม่ได้ดังสมใจ ที่ไม่หวังกลับได้

40
เป็นเลขดี ส่งเสริมให้ได้รับความสำเร็จงดงาม ชะตาชีวิตสุขสบายดี ฐานะมั่นคงร่ำรวย จะมีชื่อเสียงลาภยศ ชอบเดินทางและคิดค้นเรื่องเร้นลับ เป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถ จะมีการวางแผนทางธุรกิจที่ดีเยี่ยม เป็นนักคิดนักฝัน จินตนาการกว้างไกล ชอบสร้างวิมานในอากาศ ไม่ชอบย่ำเท้าอยู่กับที่ มักอยู่ไม่ติดบ้าน ชอบอะไรแหวกแนว บริหารการเงินเก่ง ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตส่วนตัว ควรระวังเรื่องศาสตร์เร้นลับ

41
จะทำให้ชีวิตประสพผลสำเร็จอย่างมั่นคง สติปัญญาดี ความจำแม่น จะนำพาไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มีความสุขุมล้ำลึก ชอบค้นหาความก้าวหน้าให้กับชีวิต และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครอง มีโอกาสไปเกี่ยวข้องกับต่างประเทศทุกรูปแบบเช่น ศึกษาต่างประเทศ เที่ยวต่างประเทศ อาศัยอยู่ต่างแดน คบหากับคนต่างชาติ สนใจธรรมมะ รักความยุติธรรม

42
ชีวิตจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือ เป็นที่รักและนับถือแก่คนทั่วไป เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนรักใคร่ โรแมนติกอ่อนหวาน สุภาพเรียบร้อย มีโชคดีเกี่ยวกับการเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มีเพื่อนมาก เพื่อนฝูงมักค้ำจุน สติปัญญาดี เป็นนักพูดชั้นดี ควรเป็นพ่อค้า นักปกครอง เข้ากับใครได้ง่าย และได้รับความสุขในด้านความรัก เป็นหมายเลขที่ดีที่สุดเลขหนึ่ง

43
มีสติปัญญาแตกฉาน กล้าพูดกล้าทำ ชีวิตถึงแม้จะมีอุปสรรคก็ไม่ย่อท้อ ต้องต่อสู้กับอุปสรรคและแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตอย่างมากมาย ต้องเหน็ดเหนื่อยทุกรูปแบบ มีทั้งความผิดหวัง ล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ควรระวังอุบัติเหตุทุกรูปแบบ อาจถึงขั้นพิการ

44
ดาวพุธสองดวงส่งเสริมให้มีความรุ่งโรจน์ เลขนี้มีดีด้านวาจาน่าเชื่อถือและประทับใจเสมอ มีความฉลาดช่างคิด มีเสน่ห์และความกล้าหาญ แต่บางครั้งอาจดื้อรั้น ชะตาชีวิตสดใส ผู้ใหญ่ให้ความเมตตาสนับสนุน วาสนาหนุนนำ โดยทั่วไปจึงไม่ลำบาก ช่วงใดมีอุปสรรคก็ผ่านพ้นไปได้ ส่วนที่ต้องระวังคือความดื้อดึง ความลุ่มหลง หากมากเกินไปจะทำให้ความเจริญถดถอยได้

45
ถือว่าเป็นหมายเลขดีมากเลขหนึ่ง ชีวิตมักจะมีโชคดีอยู่เสมอ ประสบโชคดีอย่างไม่คาดฝันอยู่บ่อย ๆ สติปัญญาดี จะได้รับความร่วมมือจากทุกวงการเป็นอย่างดี จะได้ลาภก้อนโตจากการเสี่ยงทุกรูปแบบ มีความมั่นคงในชีวิต

46
ถือเป็นเลขที่ดีมากเลขหนึ่ง ชีวิตมักจะมีโชคดีอยู่บ่อยๆ สติปัญญาดี เป็นคนมีรสนิยมสูง มีเสน่ห์ ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่ ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ชีวิตพบกับความสำเร็จ มีความสุขสบาย

47
เป็นเลขดีและเสียเลขหนึ่ง อิทธิพลของเลข 7 ทำให้ต้องพบกับความขมขื่น มักใจอ่อนและเชื่อใจคนง่าย ต้องระวังการหลงผิดจนทำลายอนาคต แต่บุคคลหมายเลข 47 เป็นคนขยัน มักได้รับความสำเร็จจากความพยายามอันเหนื่อยยาก ต้องใช้ความอดทน และความพยายามมาก ระวังจะถูกหลอก

48
ชีวิตมักผิดพลาดและได้รับอันตราย จะถูกชักจูงจากคนพาลให้เข้ากลุ่ม ทำให้ตกอยู่ในอบายมุข ทำแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่เสมอ หลงแสงสี การพนัน สิ่งเสพติด ชีวิตจะได้รับความเดือดร้อนสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ระวังอุบัติเหตุ คดีความ ถูกคุมขัง

49
เป็นเลขร้ายหมายถึงการผ่าตัดหรืออุบัติเหตุ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ครอบครัวแตกแยก มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สตรีจะถูกสามีกดดันกลั่นแกล้ง ชีวิตต้องเริ่มใหม่อยู่เสมอ มักเกี่ยวข้องกับความตาย ชีวิตมีแต่ความผิดหวัง มีอุปสรรค ไร้โชควาสนา

50
จะทำให้ชีวิตประสพผลสำเร็จอย่างมั่นคง สติปัญญาดี ความจำแม่นยำ นำพาไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มีความสุขุมลุ่มลึก ชอบไขว่คว้าหาความก้าวหน้าให้กับชีวิต และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง มีโอกาสเกี่ยวข้องกับต่างประเทศทุกรูปแบบเช่น ศึกษาต่างประเทศ เที่ยวต่างประเทศ อยู่ต่างแดน คบหากับคนต่างชาติ สนใจธรรมมะ รักความยุติธรรม

51
ทำให้มีเสน่ห์และเป็นดาวคู่มิตร ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะมีคนมาช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา เลข 1 และ 5 รวมกันได้ 6 ดาวศุภเคราะห์ เป็นหมายเลขที่โชคดีมากเกี่ยวกับการเงิน

52
เป็นเลขให้คุณปานกลาง เป็นดาวศุภเคราะห์ทั้งคู่ ดาวจันทร์และดาวพฤหัสบดีหนุนนำชีวิตให้มีความก้าวหน้า เป็นคนฉลาดชอบศึกษาหาความรู้ เข้ากับผู้ใหญ่และหาเงินเก่ง สุขุมรอบคอบ จะมั่งมีศรีสุข ฐานะมั่นคง ดวงความรักดี ชีวิตน่าจะประสพความสำเร็จเป็นอย่างดี ข้อเสียคือกว่าจะประสพความสำเร็จต้องผ่านอุปสรรคมากมายเพราะ 5 กับ 2 บวกกันได้ 7 ซึ่งเป็นดาวเสาร์ ชีวิตต้องอยู่กับอุปสรรค มีปัญหาให้แก้ไขอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

53
เชื่อใจคนง่ายเกินไป จะทำให้ถูกหลอก ถูกคนเอารัดเอาเปรียบ ความล้มเหลวในชีวิตจะมาจากคนอื่น ระวังอย่าเชื่อใจใครง่าย ๆ จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ความล้มเหลวของชีวิตจะมาจากพรรคพวกเพื่อนฝูง หุ้นส่วน จะมีปัญหารักสามเส้า พ่อแม่เลิกลากัน

54
ถือว่าเป็นหมายเลขดีมากเลขหนึ่ง ชีวิตมักจะมีโชคดีเสมอ สติปัญญาดี จะได้รับความร่วมมือจากทุกวงการเป็นอย่างดี จะได้ลาภก้อนโตจากการเสี่ยงทุกรูปแบบ มีความมั่นคงในชีวิต

55
ดาวพฤหัสบดีสองดวงส่งเสริมหนุนนำให้อยู่สุขสบายไม่ลำบาก ชะตาชีวิตสดใสรุ่งโรจน์ ฐานะความเป็นอยู่มั่นคง มีความเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความเที่ยงตรง รักความดี ชอบทำบุญ มักเลื่อมใสต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ ชอบเดินทางไกล เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ เป็นเลขที่ให้คุณกับชีวิตเลขหนึ่ง

56
ส่งเสริมให้มีความเจริญรุ่งเรืองและมีวิชาความรู้กว้างขวาง ทำสิ่งใดมีแผนการดี มีเป้าหมายชัดเจน ผู้คนยอมรับนับถือกันมาก ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอย่างจริงใจ มักได้เกี่ยวพันกับผู้คนในสังคมชั้นสูง ชะตาชีวิตโดดเด่น มีผู้คนชื่นชมรักใคร่ มักมีโชคในเรื่องความรัก ความสำเร็จในชีวิตมาจากความสามารถของตนเอง จะมีอำนาจบารมี

57
อาจเสียหายหรือหลุดจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกคุมขัง หน้าที่การงานจะไม่ยั่งยืน หลงมัวเมาไปในทางที่ผิด ๆ ต้องตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ถูกคนเอารัดเอาเปรียบ จะมีปัญหารักสามเส้า ชีวิตจะผิดหวังในเรื่องของความรัก

58
ชีวิตมักจะเลื่อนลอย หลงผิดได้ง่าย เอาแต่ใจตัวเอง จะพาชีวิตสู่ความหายนะได้ มักกำพร้าและขาดที่พึ่ง ชีวิตจะมีแต่ความทุกข์ มีอุปสรรค ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ครอบครัวแตกแยก รักสามเส้า มีเรื่องชู้สาว ให้ระวังอุบัติเหตุ ถูกอาวุธ ถูกคนลอบทำร้าย มีปัญหาเรื่องสายตา

59
ส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ชะตาชีวิตรุ่งเรืองดี ทำอาชีพการงานใดจะเจริญก้าวหน้าได้เร็วมาก ดวงมีทรัพย์มีลาภยศ มักเลื่อมใสต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ศาสนา รักความยุติธรรม เป็นคนมีลางสังหรณ์ดีเยี่ยม ถ้าเป็นนักบวชก็จะมีชื่อเสียงในเรื่องของขลังอาคมแก่กล้า ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างมั่นคง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครอง มีโอกาสได้ไปต่างประเทศ คบหากับคนต่างชาติต่างภาษา

60
เป็นคนมีเสน่ห์ทำให้คนชอบพอรักใคร่ เป็นบุคคลที่โชคดีเรื่องเงินเสมอ เป็นเลขแห่งศิลปะ ความเพ้อฝัน อารมณ์ละเมียดละมัย ชอบสถานที่หรูหรา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ชอบทำอะไรเกินตัว หมายเลข 60 ถ้าอยู่กับสตรีจะดี เพราะรักสวยรักงาม แต่ถ้าอยู่กับผู้ชายมักไม่ดี จะรักสวยรักงามเกินเหตุ อาจกลายเป็นกะเทยก็ได้

61
ชอบทำตัวหยิ่ง สังคมไม่ยอมรับ บั้นปลายชีวิตจะตกต่ำมาก ถ้าเป็นผู้ชายชีวิตครอบครัวจะแตกร้าว เลิกราหย่าร้าง คู่ครองล้มตายห่างหายก่อนวัยอันควร สตรีจะผิดหวังเรื่องความรักทุกรูปแบบ หมายเลข 61 บวกกันได้เลข 7 ดาวเสาร์ ดาวแห่งทุกข์ อับโชค ต้องสู้ด้วยความยากลำบาก หากชีวิตได้พบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก็อาจจะพบกับจุดจบอย่างไม่คาดฝัน

62
รวมกันได้เลข 8 พระราหูจะทำให้ชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมเลว ๆ ถูกอิจฉาริษยา ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกลั่นแกล้ง จะมีปัญหารักสามเส้า หากลุ่มหลงในสิ่งใดแล้ว มักจะไม่มีสติ มัวเมาหลงผิดได้ง่าย ชีวิตจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่ยั่งยืน

63
เป็นดาวคู่มิตรกัน ความรักสมหวังสดชื่น จะมีคนให้การอุปถัมภ์ช่วยเหลือ สติปัญญาดี มีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม มีหัวคิดค้นสร้างสรรค์ มีมิตรสหายมาก ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างดี สตรีที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของหมายเลข 63 จะมีโอกาสได้แต่งงานสูงมาก

64
มีทั้งด้านดีด้านร้าย ด้านดีดาวศุกร์และดาวพุธส่งเสริมให้มีความรุ่งเรืองและมีความสุข มีโชควาสนา ฐานะความเป็นอยู่สุขสบาย เป็นคนมีรสนิยมสูง มีเสน่ห์ ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ชีวิตพบกับความสำเร็จ ส่งผลให้ชีวิตดี ในด้านร้าย มักชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบแสวงหาคู่อยู่เรื่อยๆ หมายเลข 64 บวกกันได้ 10 จะทำให้ชีวิตมีความผิดหวัง บริวารจะสร้างปัญหาหนี้สินอย่างท่วมหัว

65
ส่งเสริมให้ชีวิตราบรื่นและมีความเจริญก้าวหน้า ด้านดีมีความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เป็นเลขนำโชคทั้งสองตัว ทำอะไรก็สะดวกสบาย ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ช่วยเหลืออย่างดี มั่นคงในอนาคต

66
เป็นเลขเสีย เพราะหมายเลข 66 บวกกันได้ 12 เป็นกำลังของดาวราหู จ้าวแห่งความลุ่มหลง ยามรักจะไม่พิจารณาให้รอบครอบ มักจะทุ่มลงไปทั้งตัว มัวเมาการพนันและอบายมุข เป็นเลขอันตรายเลขหนึ่ง ระวังธุรกิจจะโค่นลงในพริบตา ความรักจะมีอุปสรรค ชีวิตเป็นทุกข์ ชีวิตสมรสไม่แน่นอน

67
เป็นเลขที่มีอุปสรรคในชีวิตมากมาย ผิดหวังเรื่องความรัก ครอบครัวแตกแยก ไม่มีความสุขในชีวิตสมรส เป็นเลขที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง หมายถึงความตกต่ำในบั้นปลายชีวิต และยังมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียน

68
เป็นเลขมัวเมาเลขหนึ่ง ชอบประพฤติผิดศีลธรรม จะพ่ายแพ้ทางคาวโลกีย์ หลงใหลได้ปลื้มในสิ่งที่เป็นอบายมุข ชอบความตื่นเต้น คิดและตัดสินใจเร็ว เก่งในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยู่ที่ใดไม่ได้นาน

69
เป็นทั้งเลขดีและร้าย มักมีเสน่ห์ และอาจจะประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน ดาวศุกร์และดาวเกตุหนุนนำให้ไม่ลำบากอะไรนัก ปัญญาดี เรียนเก่ง เพื่อนฝูงรักใคร่ เพราะมีน้ำใจดี แต่เป็นคนติดจะขี้เหงา หวั่นไหวไม่เป็นตัวของตัวเอง จะทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ชีวิตกระท่อนกระแท่น ยังดีที่มีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์ค้ำชู

70
บ่งถึงความอำมหิตโรคประสาท ความเก็บกด อำนาจเร้นลับ โรคภัยร้ายแรง การถูกคุมขัง ถูกปล้น บั้นปลายชีวิตอาจฆ่าตัวตาย เป็นเลขที่อันตรายมาก จะต้องต่อสู้กับปัญหามากมาย ความกดดันในชีวิตมีสูง อาจตัดสินใจทำอะไรลงไปด้วยความ :-X มโหด แม้ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายตนเองหรือใคร ๆ แต่เมื่อใดคิดและทำมักจะทำสำเร็จ ไม่ควรใช้หมายเลขนี้

71
อาจล่วงจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกคุมขัง หน้าที่การงานจะไม่ยั่งยืน หลงมัวเมาในทางที่ผิด ๆ ต้องตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ถูกคนเอารัดเอาเปรียบ จะมีปัญหารักสามเส้า ชีวิตจะอาภัพผิดหวังในเรื่องของความรัก หย่าร้างกัน แต่งงานช้า ไม่ได้แต่งงาน ได้แต่งก็เลิกกัน หรือเป็นเมียน้อย

72
มักจะมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง ชีวิตมักจะพบกับความทุกข์ผิดหวัง จะต้องมีการสูญเสียบุคคลที่รักในขณะที่ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือไม่ก็เสียเงินที่หามาได้อย่างไม่คาดฝัน จะมีชีวิตที่วุ่นวาย เพศตรงข้ามสร้างปัญหาให้ตลอดเวลา บั้นปลายชีวิตจะต้องทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ

ดีใจด้วยนะครับ สำหรับคนที่ได้เลขดี แต่สำหรับคนที่ได้ไม่ดีก็ไม่เป็นไรนะเพราะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา สู้ๆๆๆๆ

หัวข้อ: เปิดจุดแข็ง-จุดอ่อนของคน 12 ราศี
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ ธันวาคม 29, 2009, 09:25:41 AM
ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)

จุดเด่น

          1. อ่านคนเก่ง  มีลางสังหรณ์แม่นยำ
          2. วางตัวดี  ยากที่ใครอ่านออก
          3. มีอารมณ์ขัน มีวาทศิลป์
          4. มีความนอบน้อมถ่อมตน  เคารพผู้อาวุโส
          5. มีความซื่อตรงและยุติธรรม
          6. รอบคอบ ละเอียดอ่อน
          7. ใจบุญสุนทาน มีความรอบรู้  รักพ่อแม่พี่น้องมาก
          8. เข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะเป็นคนอ่อนไหวง่าย

จุดด้อย

          1. เจ็บปวดง่าย  ยากจะลืมเลือนหรือให้อภัยคนที่ทำร้ายตน
          2. ชอบผูกมิตรกับคนแต่ไม่ชอบคบใครจริงจัง
          3. ชอบแสดงความสดใสร่าเริง  ทั้งที่ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว
          4. ทนไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการดูถูก
          5. ยึดมั่นในหน้าที่  จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา
          6. ใช้จ่ายเงินเก่ง
          7. เชื่อว่าตนเองถูกเสมอ

ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)

จุดเด่น
 

          1. มีความเป็นเพื่อนให้ทุกคนอย่างไม่เลือก
          2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน  มีจุดยืนที่มั่นคง
          3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่เคยดับมอด
          4. เด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้
          5. กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง  ไม่ตื่นตกใจง่าย
          6. รู้จักกาลเทศะ
          7. สร้างจุดสนใจได้ดีเสมอ  สร้างความประทับใจให้กับทุกคน
          8. สุขุมเยือกเย็น ไม่เคยทำอะไรสะเพร่า

จุดด้อย

          1. ต่อต้านกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง  จนบางครั้งก้าวร้าว
          2. ไม่ลงให้ใครง่ายๆ
          3. ไม่แสดงความคิดเห็นของตน แต่เก็บเกี่ยวความคิดของผู้อื่น
          4. ชอบเสี่ยง  ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลย
          5. ไม่ทนกับคนที่ตนคิดว่าไร้สาระ
          6. ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก
          7. คาดหวังสูงกับความเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง
          8. ชอบคิด ชอบวางแผน  แต่ไม่ชอบลงมือทำ

ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)

จุดเด่น

          1. สามารถดึงเอาความเพ้อฝันมาใช้สร้างสรรค์ได้
          2. ปรับตัวได้ดี รู้จักรอมชอม  แม้จะฝืนใจตนเองบ้าง
          3. วางตัวดี  รู้จักพูดจา เป็นผู้ฟังที่ดี
          4. ยินดีให้ความร่วมมือกับผู้อื่นแม้จะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม
          5. ไม่เรียกร้องความโดดเด่น  ไม่ยึดติดว่าตนต้องเป็นผู้นำ
          6. มีความอดทน มีศักยภาพที่ไขว้คว้าความสำเร็จ
          7. ฉลาดและรู้จักใช้โอกาส 

จุดด้อย

          1. อารมณ์เปราะบาง
          2. สับสนและเครียดได้สูงเพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตน
          3. ไม่กล้าทำในสิ่งที่ลึกๆ  ปรารถนา
          4. ชอบหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง
          5. พอใจที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการมากกว่าโลก แห่งความจริง
          6. ชอบหนีปัญหาของตนเอง ทั้งที่สามารถให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาของผู้อื่นได้
          7. ไม่ชอบงานหนักหรือภาวะที่บังคับให้ต้องรับผิดชอบสูง
          8. ขาดมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิต

ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)

จุดเด่น

          1. มีกำลังใจเข้มแข็ง  ไม่ท้อถอยง่ายๆ
          2. มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง
          3. รู้จักสร้างความสดชื่นรื่นรมย์อยู่เสมอ
          4. เป็นผู้นำที่ดี  มีความยุติธรรมและซื่อตรงสูง
          5. มีความคิดริเริ่มรักอิสระ
          6. วางจุดหมายของตัวเองไว้ทุกระยะ
          7. สนใจใฝ่รู้ มุ่งไปที่ความสำเร็จมากกว่าเงิน
          8. กล้าสู้ปัญหา  ยอมรับความกดดันได้ดี

จุดด้อย

          1. เชื่อแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง
          2. หลงตนเองต้องการเป็นหนึ่งเสมอ
          3. อยากควบคุมความคิดคนอื่น  เผด็จการพอตัว
          4. บางครั้งก้าวร้าวและไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง
          5. อ่านคนไม่เก่ง  แต่ชอบแข่งขันและชอบเอาชนะ
          6. กลัวคนไม่ยอมรับ
          7. เก็บเงินไม่เก่ง
          8. ไม่ค่อยอดทนไม่ชอบอยู่กับความซ้ำซากเป็นเวลานาน

ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)

จุดเด่น

          1. มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง
          2. เป็นคนมีจิตใจดี  ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่คนอื่นเสมอ
          3. เป็นคนจริงใจ รักมั่นคง รักครอบครัวรักเพื่อนอย่างแท้จริง
          4. สามารถเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ ยากที่จะแสดงออกว่าไม่พอใจใคร
          5. สามารถจัดการชีวิตให้มีระเบียบวินัยอย่างพอเหมาะ
          6. เป็นคนมีเหตุผล พูดจริง  ทำจริง  และไม่ไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว
          7. มักไตร่ตรองให้รอบคอบอยู่เสมอ
          8. เป็นคนสุภาพนอบน้อม ไม่ใจร้อนวู่วาม

จุดด้อย

          1. คิดและทำอะไรช้า
          2. อยากทำตามความคิดตนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะฟังคนอื่น
          3. โกธรได้ง่าย แต่หายยาก
          4. ยอมทุ่มเทเงินทองให้กับสิ่งที่ชอบ
          5. เจ้าระเบียบ  ไม่ชอบให้ใครยุ่งกับคนของตน
          6. ไม่ชอบที่จะให้เพื่อนพ้อง พี่น้องชื่นชมใครไปกว่าตน

ราศีเมถุน (21  พฤษภาคม - 20 มิถุนายน)

จุดเด่น

          1. มีความสดใสร่าเริง และมีอารมณ์ขันเสมอ
          2. ช่างคิด ช่างสังเกต
          3. ฉลาด คิดเร็วตัดสินใจเร็ว  และไม่ชอบหยุดนิ่ง
          4. ไหวพริบดี  สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยต?เอง
          5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสามารถในการวางแผน
          6. รักการเรียนรู้  สนุกที่จะหาประสบการณ์ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
          7. สามารถให้ความช่วยเหลือ  คำปรึกษา คำแนะนำแก่คนรอบข้างได้
          8. เก็บความรู้สึกดี มักไม่แสดงความรู้สึกโกรธออกมา

จุดด้อย

          1. ขาดความมุ่งมั่นและไม่อดทน  ไม่มีความหนักแน่น
          2. ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตน
          3. เป็นคนเบื่อง่าย  ขาดความจริงจังทั้งที่เป็นคนมีความทะยาน
          4. แม้จะเป็นคนคิดการณ์ไกล  แต่ไม่ชอบที่จะทำ มักวางมือเสียง่ายๆ
          5. กล้าคิด  กล้าทำแต่จริงๆ แล้วขาดความรอบครอบ
          6. ไม่ตรงต่อเวลานัก ไม่ต้องการความรับผิดชอบสูง
          7. ขาดพลังในการควบคุมตน

ราศีกรกฎ (21  มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)

จุดเด่น

          1. เป็นคนมีจิตใจดี  ไม่เคยคิดเบียดเบียนทำร้ายใคร
          2. สนใจเรื่องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตความสำเร็จและความก้าวหน้ามากกว่าปล่อยชีวิตไปเรื่ื่อยๆ
          3. รักบ้าน  รักครอบครัว รักเพื่อน
          4. มีความจำดี  มีความรับผิดชอบสูง
          5. ขยันขันแข็ง ไม่เหลวไหล
          6. ยอมรับระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง
          7. ยืนหยัดตามลำพังได้ด้วยตัวของตัวเองหากต้องเผชิญกับปัญหา
          8. มีความละเมียดละไม  ใฝ่หาความสุนทรีในชีวิต

จุดด้อย

          1. อ่อนไหวเกินไป เจ็บปวดง่าย  เจ้าอารมณ์
          2. ขาดเหตุผลเข้มงวดกับคนใกล้ตัวเกินไป
          3. ช่างหวาดระแวงและวิตกกังวลเกินควร
          4. บางครั้งก้าวร้าวเพราะยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป
          5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได  ้ทั้งที่ไม่คิดจะทำร้ายใครเลย
          6. ไม่มีความกล้าได้กล้าเสี่ยงเท่าใด
          7. มักมองโลกในแง่ร้ายและตัดสินใจเรื่องราวในแง่ลบเสมอ

ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)

จุดเด่น

          1. เป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ
          2. ไม่ดึงตัวเองลงไปในความเครียด รู้จักสร้างความรื่นรมย์ให้ตนเองและคนรอบข้าง
          3. เป็นคนที่มีระเบียบในการใช้ชีวิต
          4. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
          5. มีความมั่นอกมั่นใจและเป็นตัวเองสูง
          6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  กล้าพูดกล้าทำ กล้าเสี่ยง
          7. ไม่หวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
          8. ไม่ยอมล้มเหลวหรือพ่ายแพ้

จุดด้อย

          1. บางครั้งทรนงจนไม่ยอมขอโทษ  ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
          2. ชอบให้ทุกคนยกย่อง เอาอกเอาใจ ต้องการการยอมรับมากไป
          3. ให้ความสำคัญกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง
          4. การเลือกคบคมมากเกินไปจนดูเหมือนดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า
          5. ชอบโอ้อวดและหน้าใหญ่ในบางครั้ง
          6. วู่วามใจร้อนไร้เหตุผล
          7. มักเห็นแก่ความต้องการของตนเป็นใหญ่เสมอ
          8. กล้าคิดกล้าตัดสินใจแต่ขาดความรอบครอบ

ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)

จุดเด่น

          1. ซื่อสัตย์ภักดี  มีความตั้งใจจริงไม่เอาเปรียบใคร
          2. มีความรับผิดชอบสูง ควา?ตั้งใจสูง
          3. ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น  รู้จักออมเงิน
          4. เก่งกาจในการติดต่อสื่อสาร  การคิด  การวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียด
          5. สามารถปรับตัวได้ไม่เบื่อหน่ายมีความอดทนสูง
          6. เก่งด้านการจัดการ  มีมาตรฐานในชีวิต
          7. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน

จุดด้อย

          1. ไม่เชื่อถือและไม่วางใจใครเหมือนกับที่คนอื่นวางใจตน
          2. เข้มงวด เจ้าระเบียบ  จุกจิกจู้จี้
          3. มีความบากบั่นสูงแต่บางครั้งก็ดันทุรังโดยไร้เหตุผล
          4. ด้วยความสามารถในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้บ่อยคร ั้งช่างตำหนิติเตียนผู้คน
          5. มักมีลับลมคมนัยเก็บความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตนไว้ไม่แสดงออกมา
          6. มักหวังสิ่งตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
          7. เป็นคนเอาใจยาก

ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)

จุดเด่น

          1. มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตของตนเอง รู้จักวางเป้าหมายและวางแผนอยุ่เสมอ
          2. ดูแลชีวิตตนเองให้มีความสุขเสมอ
          3. มีวาทศิลป์ มีคารมคมคาย  รู้จักการเจรจาต่อรองได้เยี่ยม
          4. ไม่ทำตัวขวางโลก
          5. มีความเป็นผู้นำ
          6. อ่อนโยน  แคร์ความรู้สึกของผู้อื่น
          7. มนุษย์พันธ์ดีเยี่ยม  ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเอง

จุดด้อย

          1. การตัดสินใจไม่เด็ดขาดเพราะมักเกิดการโลเล ไม่มั่นใจในตนเอง
          2. ปรารถนาความเป็นหนึ่งมากจนเกินไป บางครั้งอาจผิดหวังและอิจฉาผู้อื่นได้
          3. บางครั้งสุขุมเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนเฉื่อยช้า
          4. ยึดถือความถูกต้องเป็นใหญ่จนไม่ประนีประนอมให้เกิดความยืดหยุ่นบาง
          5. มีความอ่อนไหวน้อยใจมากพอๆ  กับความยโส

ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)

จุดเด่น

          1. เป็นคนมีระเบียบวินัยและวางมาตรฐานให้กับชีวิตของตนอย่างเคร่งครัด
          2. ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของตนเอง
          3. มีความทรงจำเยี่ยม มีสมาธิดี  มีความรับผิดชอบ
          4. มีน้ำใจไมตรี  ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ชอบการประจบ
          5. เป็นคมมีไหวพริบ
          6. รู้จักใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
          7. มีจุดยืนและเป้าหมายเด่นชัด

จุดด้อย

          1. ค่อนข้างเข้มงวดกับตนเองและคนอื่นมากไป
          2. บางครั้งดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในใจและยากที่จะไว้ใจใคร
          3. โมโหร้าย หวาดระแวง  ยากที่จะประนีประนอม
          4. แม้จะไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างจริงจัง
          5. สามารถที่จะลืมความอ่อนโยนกลายเป็นคนก้าวร้าวได้ถ้าไม่พอใจ

ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)

จุดเด่น

          1. มีแนวคิดที่ชัดเจน  มีหลักปรัชญาในการดูแลชีวิต
          2. มีอารมณ์ขันเสมอ ไม่เครียดง่าย
          3. ปรับตัวได้ดีมองการณ์ไกล
          4. กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่เสมอ
          5. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
          6. ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง

จุดด้อย

          1. เก่งหลายอย่างแต่ไม่มุ่งมั่นซะอย่าง
          2. มักเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นจนท้อ
          3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด  ไม่เก่งเรื่องวางแผน
          4. เก็บเงินไม่เก่ง
          5.ทนไม่ได้หากถูกมองว่าไม่ชื่อตรง จะก้าวร้าวถ้าไม่ได้ดั่งใจ
          6. บางครั้งใจแคบ  ไม่รู้จักกาลเทศะ
          7. ไว้ใจคนง่าย ชอบโต้คารม  ชอบอวดความคิดตน
          8. แม้ปัญญาดีแต่ขาดไหวพริบ
หัวข้อ: ความประทับใจจากป้ายผ้าl
เริ่มหัวข้อโดย: อุเทน47 ที่ มกราคม 02, 2010, 07:31:11 PM
ไปเจอป้ายผ้ามาผืนหนึ่ง ใช้กล้องมือถือถ่ายมา
โดยใจขอรับ  -0009
หัวข้อ: ชอบวะเก๋
เริ่มหัวข้อโดย: jackthairath39 ที่ มกราคม 05, 2010, 11:56:41 AM
เดี๋ยวจะส่งปฏิทินลีโอเป็นของรางวัล
หลายปีก่อนที่เชียงใหม่ มีร้านข้าวต้มช่ือว่า ประชาธิปไตยเป็นของท่าน ตอนหลังเทศบาลสั่งให้เปลี่ยน จริงไหมวะเก๋
ร้านนี้เคยอยู่ริมคูเมืองฝ่ังประตูช้างเผือกใกล้แจ่งหัวรินหรือเปล่านะ ไม่แน่ใจ
เชียงใหม่ฝนตกไหมวะ
เช้าวันนี้ กรุงเทพฝนตกหนักเหมือนกัน
บ้าชิบ ไม่เห็นหนาวเลย
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: อุเทน47 ที่ มกราคม 05, 2010, 03:00:37 PM
 -0023 ขอบคุณล่วงหน้าครับ

เคยได้ยินข่าวเหมือนกันนะร้านที่ชื่อกวนๆ แบบนั้น
แต่ไม่แน่ใจว่าจะจริงหรือเปล่า

เชียงใหม่ฝนไม่ตกนะ แต่ก้อยังหนาวอยู่ 
หัวข้อ: ผีสามตัว
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 18, 2010, 09:13:37 AM
    ผีสามตัว นั่งคุยกัน อยู่ข้างวัด             เงียบสงัด วังเวง น่าเกรงขาม
นั่งปรับทุก ถามสุกดิบ ตอนสามยาม            ตัวแรกถาม ตัวที่สอง บอกข้าที
    ...ว่าทำไม เจ้าใย ถึงตายเล่า              เรื่องมันเศร้า ข้าโดนยิง ตอนหลบหนี
แล้วถามกลับ เจ้าทำไม สิ้นชีวี                   ตัวข้านี้ โดนแทง ตอนตีกัน
    ...ผีทั้งสอง หันไปมอง ตัวที่สาม          แล้วก็ถาม ว่าทำไม ถึงตัวสั่น
ทั้งร้องไห้ เหงื่อท่วมหน้า ทำไมกัน              พวกเรานั้น ฉันเข้าใจ ให้บอกมา
   ...ตัวที่สาม อ้ำอึ้ง อยู่ซักครู่                  ก็ไม่รู้ ว่าจะพูด ดีไหมหนา
ตัดสินใจ สุดกล้ำกลืน ฝืนอุรา                    อันตัวข้า....มานั่งขี้....ยังไม่ตาย.....
                                                                 
หัวข้อ: เก๋ เก่ง
เริ่มหัวข้อโดย: jackthairath39 ที่ มกราคม 18, 2010, 01:11:49 PM
น้าเก๋ได้ปฏิทินหรือยัง ส่งไปเพิ่มอีกสองฉบับฝากให้น้าเก่งด้วยนะ
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 18, 2010, 07:35:48 PM
รับทราบครับอ้ายแจ๊ค พอดีของผมมีคนใจดีเอามาฝากแล้วครับ
สละสิทธิ์หื้อคนตางเวียงไปก่อแล้วกั๋นครับ  -0023
หัวข้อ: Re: เก๋ เก่ง
เริ่มหัวข้อโดย: อุเทน47 ที่ มกราคม 18, 2010, 08:08:38 PM
น้าเก๋ได้ปฏิทินหรือยัง ส่งไปเพิ่มอีกสองฉบับฝากให้น้าเก่งด้วยนะ

ยังบ่หันได้เลยยยยย
สงสัยไปรษณีย์เอาไปหวดเสียล่ะมั้ง  -25
หัวข้อ: สุดยอดคำตอบ สวย เก่ง ฉลาด
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 25, 2010, 11:22:30 AM
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อเมริกา ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ
ให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
มิส อเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ  ?
มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส สเปน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ
ให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
มิส สเปน : ไอ้นั่นของผู้ชาย ในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิง
ที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ
ให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉัน
เหมือนกับข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส ฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่านจากปากนึง สู่อีกปากนึงต่อๆกัน
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่นต่อด้วยเสียงปรบมือยาว

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ
ให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
มิส อิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่า ไอ้นั่น
ของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส อิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
( เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ
คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
มิส ไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ  Deng Siu Ping.
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส ไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำ งานหนัก
แต่ว่ามันก็ยัง ทำงานได้จนถึงอายุ  90  ปี   
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ
คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร  ?
มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับนักการเมือง
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ  ?
มิส มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวันๆ งานการไม่ทำ
ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา!!! ไปวันๆ เท่านั้น

จบข่าว
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: charnwitp ที่ มกราคม 25, 2010, 11:56:53 AM
เจ๋งว่ะ เพื่่อน แกว่งไป แกว่งมา ฮาฮ่าฮ่า :laugh1: -0020
หัวข้อ: ก่อนตายอย่าลืมยกเลิกบัตรเครดิต
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 26, 2010, 08:51:52 AM
นางแจ่มชัด เสียชีวิตไปเมื่อเดือนมกราคมปีนี้เอง ธนาคารสี่ตี้แบงค์ได้ส่งใบเรียกเงินมาเก็บค่าธรรมเนียมประจำปีของบัตรเครดิต
ซึ่งมาถึงเธอในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม พร้อมทั้งเรียกเก็บค่าปรับที่เธอชำระล่าช้า พร้อมดอกเบี้ยของยอดที่เรียกเก็บ
ซึ่งในความเป็นจริงเธอไม่ได้ใช้บัตรนั้นมาตั้งแต่วันที่ตาย แต่บัดนี้ยอดทั้งหมดที่เรียกเก็บกลายเป็นจำนวนสองพันกว่าบาทเข้าไปแล้ว
ญาติของเธอจึงโทรศัพท์ไปยังธนาคาร

ญาติผู้ตาย : ดิฉันโทรมาแจ้งว่าคุณแจ่มชัดเสียชีวิตแล้วค่ะ ตั้งแต่เดือนมกราคม

เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ยังไม่มีการแจ้งปิดบัญชีนะคะ ดังนั้นค่าปรับการชำระช้าจึงต้องเรียกเก็บค่ะ

ญาติผู้ตาย : งั้น... ช่วยยกเลิกบัตรให้ได้ไหมค่ะ

เจ้าหน้าที่ธนาคาร : แต่มันช้ามาสองเดือนแล้วนะคะ ที่เรียกเก็บไม่ได้และธนาคารได้ออกใบเรียกเก็บไปแล้วค่ะ

ญาติผู้ตาย : ตามปกติถ้าลูกค้าเกิดตายไป ทางธนาคารจะจัดการอย่างไรต่อคะ

เจ้าหน้าที่ธนาคาร : เราอาจต้องแจ้งหน่วยคดีฉ้อโกงหรือไม่ก็แจ้งไปยังเครดิตบูโร (ส่วนงานที่จะคอยเก็บประวัติการมีเครดิตของคนประเทศไทยก็มีคะ) หรือไม่ก็แจ้งไปทั้งสองที่คะ

ญาติผู้ตาย : แล้วยมบาลจะโกรธเธอไหมคะ? (ฉันชอบคำถามนี้ของตัวเองจริงๆ)

เจ้าหน้าที่ธนาคาร : อะไรนะคะ?

ญาติผู้ตาย : คุณได้ยินหรือเปล่าคะ ที่ดิฉันบอกว่าเธอตายไปแล้วน่ะคะ

เจ้าหน้าที่ธนาคาร : รอสักครู่คะ คุยกับหัวหน้าดีกว่าคะ

สักครู่... หัวหน้ารับโทรศัพท์ไปพูดต่อ...

ญาติผู้ตาย : ดิฉันโทรมาแจ้งให้ทราบว่าเจ้าของบัตรเสียชีวิตไป ตั้งแต่เดือนมกราแล้วคะ

หัวหน้าธนาคาร : ยังไม่มีการแจ้งปิดบัญชีนะครับ ดังนั้นค่าปรับการชำระช้าจึงต้องเรียกเก็บครับ
(สงสัย เป็นประโยคที่ทางธนาคาร มีไว้ให้ใช้ ตอบกับลูกค้า)

ญาติผู้ตาย : หมายความว่าจะต้องเรียกเก็บจากที่ดินของเธอหรือคะ

หัวหน้าธนาคาร : (ชักเริ่มติดอ่าง) คุณเป็นทนายความของเธอหรือครับ?

ญาติผู้ตาย : เปล่าคะ ดิฉันเป็นเหลนของเธอน่ะคะ (ทนายสอนให้บอกเช่นนี้)

หัวหน้าธนาคาร : กรุณาช่วยแฟกซ์ใบมรณบัตรของเธอมาได้ไหมครับ

ญาติผู้ตาย : ยินดีคะ (ทางธนาคารแจ้งเบอร์แฟกซ์)

หลังจากได้รับแฟกซ์เรียบร้อย...

หัวหน้าธนาคาร : ทางระบบของเราไม่ได้บอกว่าจะให้จัดการอย่างไร ในกรณีที่ลูกค้าเสียชีวิต ผมก็ไม่ทราบว่าจะช่วยเหลือคุณได้อย่างไร

ญาติผู้ตาย : อ๋อคะ คิดต่อไปนะคะ ถ้ายังคิดไม่ออกก็เรียกเก็บเงินเธอไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน เธอคงไม่ว่าอะไรหรอกคะ

หัวหน้าธนาคาร : ครับ… ค่าปรับการชำระช้า ก็ต้องเรียกเก็บต่อไปนะครับ

ญาติผู้ตาย : ไม่ทราบต้องการที่อยู่ใหม่ของคุณยายทวดไหมคะ

หัวหน้าธนาคาร : ดีเลยครับ

ญาติผู้ตาย : บริเวณปากน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา สมุทรปราการคะ

หัวหน้าธนาคาร : ขอประทานโทษครับ... นั่นมันเป็นแม่น้ำนี่ครับ

ญาติผู้ตาย : อ้าว!!... แล้วเวลาญาติพวกคุณตาย เอาอังคารไปลอยแถวไหนหรือคะ

หัวข้อ: ลองเล่นดูครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 26, 2010, 08:54:17 AM
มองตามปุ่มสีชมพูที่เคลื่อนไหว ก็จะเห็นปุ่มเป็นสีชมพู , ถ้าจ้องที่เครื่องหมายบวกสีดำตรงกลาง ปุ่มที่เคลื่อนไหวจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว

 
ต่อไป เพ่งเฉพาะเครื่องหมายบวกสีดำตรงกลางอย่างเดียวนานๆ ปุ่มสีชมพูจะค่อยๆเลือนหายไป แล้วจะเห็นปุ่มสีเขียววิ่งวนไปรอบๆแทน


เห็นหรือยังว่า สมองของเรานั้นทำงานได้อย่างน่ามหัศจร รย์แค่ไหน จริงๆแล้วไม่มีปุ่มสีเขียวเลยสักปุ่ม , ปุ่มสีชมพูก็ไม่ได้หายไปไหน

แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป
 


หัวข้อ: บันทึกช่วยจำของ“เหลียงจี้จาง”
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 26, 2010, 08:55:19 AM
บันทึกช่วยจำของ“เหลียงจี้จาง”“เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย

บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้

นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป

มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...
 
ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีกในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี

1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป
ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป

(น่ากลัวไหม)

2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง 55)หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นหาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ
 
5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดีความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
 
 6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
 
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้นในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (No free lunch)
 
9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

(หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้)


หัวข้อ: เรื่องเล่าดีๆ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มกราคม 26, 2010, 09:01:05 AM
มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่งสุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังสำหรับระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น
โดยส่วนตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง
”ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา และพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า....

ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้างแต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขาต้องกอดเอวพ่อให้แน่น เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน.........

ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า..... จริงๆ แล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก
หัวข้อ: เอามาฝากครับ ได้ FW มาสุดยอดมั่กๆ ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ พฤษภาคม 16, 2010, 10:06:24 AM
http://www.youtube.com/v/vOhf3OvRXKg&color1=0xb1b1b1&color2=0xd0d0d0&hl=en_US&feature=player_embedded&fs=1
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: donggy ที่ พฤษภาคม 26, 2010, 12:06:45 PM
สุดยอดจริง ๆ เลยครับ :love:
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: charnwitp ที่ มิถุนายน 01, 2010, 10:52:26 AM
สวยดีครับบบ :V
หัวข้อ: น้องๆ ของอ้าย mac ตีนดอยแต่ละคนมีที่มาแบบ$
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มิถุนายน 05, 2010, 12:08:20 PM
บังเอิญไปเจอมาครับ ก็เลยฝากถามว่าน้องๆ ของอ้ายแม็ก ตีนดอย แต่ละคนนี่มีที่มาแบบนี้หรือปล่าวอ่ะครับ ????

http://www.youtube.com/v/a3ImaaS2-MY&hl=en_US&fs=1&
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: เก่ง หล่ายดอย ที่ มิถุนายน 07, 2010, 10:15:27 AM
http://fc01.deviantart.com/fs13/f/2007/077/2/e/Animator_vs__Animation_by_alanbecker.swf
หัวข้อ: Re: หลากเรื่องหลายรสจาก FW mail
เริ่มหัวข้อโดย: charnwitp ที่ มิถุนายน 07, 2010, 09:21:03 PM
เจ๋งว่ะ
เหมือนมรึงโกรธแค้นใครมาอย่างงั้น.ง :laugh2: :laugh2: