เพิ่งจะตั้งกระทู้นี้เป็นกระทู้แรก หลังจากสมัครเป็นสมาชิกได้สักพักหนึ่ง
ชื่อเก๋า ครรชิต ดีสมศักดิ์ อยู่ห้องม 1/4 และ ม 4/1
เราชอบเลี้ยงสัตว์แปลกๆ จากการที่เลี้ยงสัตว์มาหลายอย่าง
เลยได้มุมมอง เปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตของมนุษย์
เลยเอามาฝากเพื่อนๆ อ่านดูขำๆนะ แต่ใครจะใช้บทความนี้
ไปเป็นข้ออ้างกับภรรยาในยามมี "กิ๊ก" ก็อย่าอ้างอิงถึงคนเขียนล่ะ
เดี๋ยวจะโดนส่งเลิกคบเพื่อนคนนี้ เริ่มเลยดีกว่านะ ถึงจะยาวหน่อย แต่อ่านให้จบล่ะ
มาปล่อยตัวตามกระแส เผื่อแผ่กันในสิ่งที่ขาดแคลน เพื่อดินแดนแห่งสันติ กันดีไหมครับ
ทุกวันนี้ผมเฝ้ามองดูมนุษย์พยายามเอาชนะความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ หรือเพียรพยายามทวนกระแสที่พึงจะเป็นอยู่ทุกวิถีทาง แต่ผลลัพธ์ของการเพียรพยายามกลายเป็นว่าธรรมชาติกลับมาทวงคืนในสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างสาสม ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลที่ผิดเพี้ยน อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น รวมไปถึงความผิดปรกติของสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่ดาหน้าเข้ามาประลองเพื่อหยั่งรู้ความสามารถของสิ่งมีชีวิตที่ว่ากันว่า เฉลียวฉลาดที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ อย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนที่นิยมเลี้ยงสัตว์กันอยู่พักใหญ่ ปรากฎว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทัศนะของสัตวแพทย์และวิศวกรกลับเห็นตรงกันได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นมูลเหตุแห่งความขัดแย้งและนำไปสู่ความไม่สมดุลอีกหลายหลากที่ตามมา ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามไป แต่บางท่านอาจกำลังเห็นด้วยและรู้สึกอย่างผมก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ว่า สิ่งที่ทั้งสองคนจากต่างมุมมองสองสายงาน กลับเห็นพ้องต้องกัน อาจกลายเป็นอีกหนึ่งวิถีทางของการสยบความยุ่งเหยิงบนโลกใบนี้ก็เป็นได้ พวกเรามีความคิดว่า ทุกวันนี้เรากำลังพยายามเอาชนะธรรมชาติทุกอย่าง รวมไปถึงพฤติกรรมของการมีคู่ หรือเปล่า
พฤติกรรมการจับคู่ของสัตว์โลกต่างๆในโลก แบ่งออกตามหลักการของสัตววิทยาเป็น
1. Polygyny เป็นการจับคู่แบบตัวผู้ตัวเดียวกับตัวเมียหลายตัว
2. Polyandry เป็นการจับคู่แบบตัวเมียตัวเดียวกับตัวผู้หลายตัว
3. Polynandry การจับคู่แบบกลุ่ม แต่ละเพศมีคู่หลายตัว หรือแบบสวิงกิ้ง
4. Polygamy คือชื่อรวมของการจับคู่ในแบบข้อ 1 หรือการอยู่รวมกันแบบฮาเร็ม
5. Monogamy เป็นการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งอาจเป็นชั่วคราวแค่ฤดูกาลเดียว หรือตลอดชีวิตก็ได้
มนุษย์ (Human , Homo sapian) เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งนะครับ อย่าคิดว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐกว่าเพื่อนร่วมโลกทั้งหลายเลย เพราะพฤติกรรมทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ว่าเป็นเรื่องพื้นฐาน หรือลึกซึ้งขนาดไหน ก็สามารถอธิบายได้ด้วยกลไกทางเคมีและสรีรวิทยา มนุษย์เป็นสัตว์พวกไพรเมท หรือกลุ่มลิงไร้หาง ซึ่งแน่นอนว่ายังไงแล้วก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง แต่เราก็ยังสร้างความแตกต่าง โดยเรียกสัตว์พวกไพรเมทชนิดอื่นๆ ว่า Non-human primate โดยจะเว้นมนุษย์ไว้ และปัจจุบันก็พยายามจะสร้างเรื่องศีลธรรมและวัฒนธรรม ให้มนุษย์ยึดถือปฏิบัติว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทผัวเดียวเมียเดียว แต่ข้อมูลที่น่าตกใจ คือ ในสัตว์กลุ่มที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีสัตว์พวก Monogamy หรือการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว จำนวนน้อยมาก มีเพียงสัตว์ฟันแทะไม่กี่ชนิด และชะนีเท่านั้น ที่มีหลักฐานว่า มีการจับคู่แบบ Monogamy แต่เกือบทั้งหมดจะเป็นการจับคู่แบบ polygamy และการจับคู่แบบต่างๆ ก็สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อม และจำนวนสัดส่วนของประชากรตัวผู้และเมียในกลุ่มของสัตว์ชนิดนั้นๆ เช่น ชะนี สามารถเหนี่ยวนำให้รับตัวเมียตัวใหม่ได้ง่าย หรือบางตัวสามารถมีตัวเมียในกลุ่มได้มากกว่า 1 ตัวได้ แต่ในขณะที่สัตว์ปีกที่เป็น polygamy จะมีความฝังใจในคู่มากกว่า และเหนี่ยวนำให้รับคู่ตัวใหม่ได้ยากกว่า เช่น นกกะเรียน เป็ดแมนดาริน รวมไปถึงนกเงือก จึงอาจเห็นในการ์ดแต่งงานของคนจีน จะนิยมมีรูปพวกสัตว์ปีกเหล่านี้อยู่ เพื่อแทนความหมายว่าเป็นสัญลักษณ์ให้รักกันยืนนาน แบบผัวเดียวเมียเดียว แต่คำถามก็คือ คนเป็นพวกนกหรือลิงล่ะ? ส่วนสัตว์เลื้อยคลานที่ผมชอบเลี้ยงกันอยู่นั้น แทบทั้งหมด เพศผู้และเพศเมียมีพฤติกรรมแบบกิ๊กครับ คือเมื่อผสมพันธุ์แล้วก็แยกจากกันไป หรืออาจอยู่รวมฝูงกันแค่ช่วงฤดูผสมพันธุ์เท่านั้นเอง
ผมสังเกตพฤติกรรมของสัตว์โลกส่วนใหญ่ดูแล้ว พบว่า สัตว์เลือดอุ่นในโลกส่วนใหญ่ มักจะมีพฤติกรรมแบบPolygamy และคิดรวมไปแล้ว มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่มีพฤติกรรมแบบMonogamyหรือแบบผัวเดียวเมียเดียว แต่หากจะจำเพาะเหลือเพียงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลับพบว่าเปอร์เซ็นต์ของสัตว์เลือดอุ่นที่มีพฤติกรรมแบบMonogamyกลับลดลงไปอีกเหลือไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เท่านั้นครับ ส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมด)จะมีพฤติกรรมการจับคู่แบบHarem Style หรือ Polygamy และที่สำคัญไปกว่านั้น ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้ชนิดใดเลย ที่ทำหน้าที่เลี้ยงลูกอ่อน สัตว์เพศผู้ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ปกป้องดินแดนที่อาศัยอยู่ รวมไปถึงการคุ้มครองสมาชิกในฝูงเท่านั้น จึงไม่แปลกหากคุณพ่อทั้งหลายจะพบว่าตนเองดูแลลูกได้ไม่ดีเท่าภรรยา แน่นอนครับ ก็เพราะว่าธรรมชาติไม่ได้สร้างคุณพ่อมาเพื่อการนี้แต่อย่างใด
มาเข้าเรื่องราวส่วนตัวของมนุษย์ผู้ประเสริฐกันดีกว่า ตั้งแต่มีมนุษย์อุบัติขึ้นบนโลกเบี้ยวๆแบนๆใบนี้ เริ่มจากโฮโม อีเร็คตัส จวบจนวิวัฒน์กลายเป็น โฮโม ซาเปี้ยน ในทุกวันนี้ นักมานุษยวิทยาพบหลักฐานมากมายที่ชี้ชัดว่า มนุษย์ในยุคนั้น มีพฤติกรรมแบบHarem Style หรือหากจะดูกันง่ายๆ แบบไม่ต้องถึงขั้นขุดค้นหาซากโบราณ จะเห็นได้ว่า เจ้าขุน มูลนาย หรือผู้มีอันจะกิน ในยุคโบราณต่างล้วนมีพฤติกรรมแบบHaremถือเป็นสามัญวิถี หากแต่ในสมัยนั้นจะเรียกกันอย่างเลี่ยงบาลีว่า ครอบครัวใหญ่ พฤติกรรมดังกล่าวเพิ่งจะถูกเบี่ยงเบนหรือตัดสินว่าเป็นสิ่งไม่ชอบ ไม่ควร ก็เมื่อตอนเรารับเอาวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาไว้เป็นส่วนหนึ่งในวิถีแห่งเรานั้นเอง
แต่ดูเหมือนศาสนาอิสลาม ศาสนาที่มีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่สันติสุขของโลกใบนี้ กลับล่วงรู้ความลับของธรรมชาติได้ก่อนใคร เพราะตัวเลขที่ศาสดาระบุไว้ว่า ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้4คน(ภายใต้เงื่อนไขที่ศาสนากำหนด) กลับเป็นตัวเลขที่พ้องต้องกัน เพราะสัดส่วนของเพศชาย:เพศหญิง บนโลกใบนี้ในปัจจุบัน คือ 1:4 (เพศชาย1คน ต่อเพศหญิง 4คน)และหลายคนอาจมองว่า ข้ออนุญาตของอิสลามนิกชนนี้ช่างโบราณและขัดต่อนโยบายลดอัตราการเพิ่มประชากรโลกของWHOเสียนี่กระไร และแย้งว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าศาสนาอิสลามต้องการเพิ่มชาวอิสลามให้มีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่การมีภรรยาหลายคนนั้นจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนที่ภรรยาคนก่อนเห็นชอบแล้ว และผู้เป็นสามีจะต้องดูแลภรรยาทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมไปถึงเงื่อนไขการมีภรรยามากกว่า1คน อาจต้องมีเงื่อนไขประกอบอย่างเช่นภรรยาคนก่อนๆไม่สามารถมีบุตรได้ เป็นต้น
ผมแอบคิดเล่นๆนะครับ หากผมจะมีภรรยาสักสี่คน ผมก็คงไม่ได้แฮปปี้กับการเลี้ยงลูกมากๆสักเท่าไหร่หรอกครับ ผมคงมีความสุขกับการใช้สิทธิมีภรรยาให้เต็มโควตาเสียมากกว่า เห็นไหมครับ การมีภรรยาได้สี่คนจึงใช่ว่าจะเป็นการขัดต่อนโยบายของWHOแต่อย่างใด ขออย่างเดียวอย่ามีลูกให้มากเกินไปเป็นใช้ได้
ผมแอบคิดและจินตนาการต่อไปอีกนิด ในสภาพสังคมไทยนั้น หากไม่นับรวมฝ่ายชายที่ไม่สามารถดูแลหรือปกป้องเพศหญิงได้ เพศชายในกลุ่มนี้เห็นจะได้แก่ พระ-เณร(แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่อดไม่ได้), คนคุก,นักเลงหัวไม้, อันธพาล,คนติดยา , รวมไปถึงบรรดารักร่วมเพศ เก้งกวางทั้งหลาย หากตัดเพศชายในกลุ่มนี้ออกไป แล้วนับเอาเฉพาะผู้ชายที่เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ รวมไปถึงมีศักยภาพและสภาวะผู้นำเพียงพอที่จะปกป้องและดูแลเพศหญิงได้แล้ว ผมว่าตัวเลขสัดส่วน1:4น่าจะกระโดดพรวดขึ้นไปอยู่เฉียดๆ1:7ถึง1:8เสียด้วยซ้ำไป
ที่ผมนำเสนอตัวเลขออกมาอย่างนี้ ผมไม่ได้หมายความจะทำให้ท่านชายมีหัวใจพองโตจนเกินเหตุนะครับ หากแต่ว่าผมอยากให้ท่านชายตระหนักว่า หากเราทำตัวไม่ดี ไม่มีคุณค่าในสังคม พวกคุณก็จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับเพศชายที่ไม่สามารถปกป้องเพศหญิงได้ กลายเป็นฐานให้เพศชายท่านอื่นเหยียบบันไดขึ้นไปเป็นเจ้าของตัวเลข1:7ในที่สุด แล้วท่านก็จะกลายเป็นเพศชายที่ถูกลืม ไม่ควรค่าแก่การนำมาประเมินในสัดส่วน เมื่อรู้อย่างนี้เพศชายทุกท่านต้องทำตัวให้ดีมีความรับผิดชอบ รวมไปถึงสร้างหน้าที่การงานให้ดียิ่งขึ้นไปอีกนะครับ อย่างน้อยที่ผมอุตส่าห์เขียนเรื่องนี้มาเสียยืดยาว หากจะทำให้เพศชายท่านใดเกิดแรงฮึด แล้วกลายเป็นกำลังหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคม ผมถือว่าผมก็ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วล่ะครับ
ส่วนเพศหญิงท่านใด หากได้อ่านบทความนี้ (แล้วทนอ่านได้จนจบ) และยอมรับกับตัวเลขของกฎแห่งธรรมชาติอันนี้ได้ (ไม่ว่าจะ1:4 หรือ 1:7 ก็ตาม) จะรู้สึกสบายใจแม้ว่าเพื่อนๆจะล้อหรือเรียกว่า คานทอง เพราะในความเป็นจริงแล้วแม้ว่าสัจจะธรรมเรื่องนี้จะถูกตีแผ่ออกไป พฤติกรรมของเพศชายในสังคมไทย ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามตัวเลขที่ธรรมชาติกำหนดมาหรือใกล้เคียงสัดส่วนที่ควรจะเป็นสักหน่อย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้หญิงดีๆจะหาคู่ไม่ได้ เพราะจำนวนเพศชายที่มีนั้นไม่เพียงพออยู่แล้ว แต่หากว่าเพศหญิงท่านใด จับได้ว่า แฟนของท่านแอบไปมีกิ๊กหรืออนุภรรยา ก็ขอให้ทำใจได้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะแท้จริงแล้ว มนุษย์มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ หนำซ้ำทุกวันนี้ธรรมชาติก็ยังพยายามให้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่พวกเราพยายามเอาชนะความจริงโดยการแกล้งทำเป็นไม่รับรู้มัน
แต่สำหรับเพศชายที่ทำตัวได้เหนือธรรมชาติ คือ ไม่มีกิ๊กใดๆ(ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) รวมไปถึงช่วยภรรยาเลี้ยงลูกเป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ จงรับรู้ว่าท่านได้ก้าวล่วงเลยขีดจำกัดพื้นฐานและสามารถเอาชนะบทบัญญัติแห่งสัญชาตญานได้อย่างดีเยี่ยม จึงสมควรที่จะได้รับการเรียกขานว่า มนุษย์ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ความเป็นจริงอีกเรื่องที่เราพบเห็นได้ก็คือบรรดาข่าวฆาตกรรมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ พบว่าเกือบครึ่ง เกิดจากประเด็นชู้สาว และประเด็นชู้สาวจะเป็นประเด็นหนึ่งในสองอันดับแรกทุกครั้งที่เกิดฆาตกรรม (สลับกันเป็นอันดับหนึ่งระหว่างเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ มาโดยตลอด) ลองจินตนาการดูว่าหากเราทำใจยอมรับความจริงแห่งธรรมชาติข้อนี้ โดยการทำใจยอมรับความจริงที่ว่าเพศชายคือทรัพยากรที่ธรรมชาติมีให้มาอย่างจำกัดจึงจำเป็นต้องแบ่งปันและใช้ให้คุ้มค่ารวมไปถึงใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมว่าอย่างน้อยคดีฆาตกรรมที่เกิดจากปมประเด็นชู้สาวตามหน้าหนังสือพิมพ์คงจะลดลงไปได้ไม่มากก็น้อย ลองหลับตาจินตนาการดูสิครับ หากว่าทุกวันที่อ่าน หนังสือพิมพ์ข่าวชาวบ้านแล้วไม่พบข่าวฆาตกรรมหรือข่าวการทำร้ายร่างกายจากประเด็นชู้สาวเลย เหลือเพียงแต่ประเด็นทางเศรษฐกิจ ผมว่าอย่างน้อยสังคมก็คงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ ทุกวันนี้ลำพังสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองก็สร้างความเครียดให้กับสังคมมากพอแล้ว ปล่อยวางสักเรื่องได้ไหมครับ?
เพศหญิงหลายท่านอาจแย้งว่า แล้วผู้หญิงทำมั่งไม่ได้เหรอ ทีผู้ชายยังเรียกร้องในกฎ1:4เลย ผมขอตอบว่าไม่ควรและไม่ได้เป็นอย่างยิ่งครับ เพราะหากเพศหญิงใช้เพศชายมากกว่า1คนขึ้นไปแล้วละ ก็จะยิ่งทำให้สัดส่วนที่มีอยู่น้อยนิด ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก การกระทำเช่นนี้เข้าข่ายซ้ำเติมสังคมเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น กรณีนี้ห้ามแม้แต่จะคิดครับ
บทความที่ผมเขียนขึ้นมานี้ ตั้งใจจะให้เป็นบทความแนะนำตัวในการตั้งกระทู้แรก ของบอร์ด Montfort27 นี้ อ่านแล้วอย่าเครียดนะครับ ไม่ว่าคนที่อ่านจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย อยากให้ปล่อยวาง ยอมรับในความเป็นจริงกัน แล้วผมว่า โลกนี้จะมีสันติมากกว่าที่เป็นอยู่
ขอให้โลกนี้มีสันติครับ
เก๋า